ทองคำปรับตัวลดลงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขึ้น ขณะที่พลาเดียมยังทำ New High
· ราคาทองคำตลาดโลกปิด -0.9% ที่ 1,764.5 เหรียญ หลังทำต่ำสุดตั้งแต่ 15 เม.ย. บริเวณ 1,755.81 เหรียญ
· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนก.พ. ปิด -0.6% ที่ 1,764.20 เหรียญ
· ราคาทองคำปิดปรับตัวลดลงกว่า 1% โดยได้รับแรงกดดันจาก
1. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น แตะ 1.69% ทำสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ (ตั้งแต่ 13 เม.ย.)
จากการที่นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าวถึงแผนค่าใช้จ่ายครั้งใหม่มูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ และข้อมูลเศรษฐกิจที่สะท้อนการเติบโตได้อย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสแรก
2. ดอลลาร์ขยับแข็งค่าขึ้น 90.59 จุด
3. ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาสดใส
- จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ออกมาดีขึ้นทำต่ำสุดใหม่รอบ 13 เดือน
โดยมีผู้ขอรับสวัสดิการลดลง 13,000 ราย แตะ 553,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
- Advance GDP หรือประมาณการณ์จีดีพีไตรมาสที่ 1/2021 ครั้งที่ 1 ของสหรัฐฯ
พบว่าขยายตัวได้น้อยกว่าคาด แต่ดีขึ้นจากข้อมูลเปรียบเทียบโดยออกมาที่ 6.4%
- ข้อมูลยอดอนุมัติขายบ้านเดือนมี.ค. ขยายตัวกลับมาแดนบวกแตะ 1.9%
แม้จะน้อยกว่าที่คาดการณ์ แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ระดับ -11.5%
4. กองทุน SPDR กลับมาเทขายอีกครั้งหลังไม่ได้ทำอะไรมาเกือบ 10 วันทำการ
โดยเมื่อวานนี้ทำการขายทองคำออกมา 4.66 ตัน โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,017.04 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. 20 ที่ผ่านมา
ภาพรวมเดือนเม.ย.มีสถานะขาย 20.46 ตัน
ตั้งแต่ม.ค. - ปัจจุบัน ปี 2021 กองทุน SPDR ขายทองคำออกแล้วทั้งสิ้น สุทธิ 153.70 ตัน
อย่างไรก็ดี เดือนเม.ย. ปี 2021 กองทุน SPDR ยังมีแรงเทขายอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 โดยมีการขายออกตั้งแต่ต.ค. - ปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 251.85 ตัน
5. ดัชนี S&P500 ปิดทำสูงสุดประวัติการณ์ ภาพรวมหุ้นสหรัฐฯเคลื่อนไหวและปิดแดนบวกกดดันความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
· นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Kitco กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงเป็นปัจจัยหลักที่เขากดดันราคาทองคำ แต่เรายังเชื่อว่าทองคำในระยะสั้นๆ จะมีการเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น ขณะที่กราฟรายวันก็ยังสะท้อนถึงการปรับขึ้นได้ แต่หากราคาไม่สามารถยืนได้เหนือ 1,800 เหรียญ ก็อาจบอกได้ว่าสัปดาห์หน้าหรือต่อจากนี้ทองคำอาจมีการกลับมาเคลื่อนไหว Sideways หรืออ่อนตัวลงได้
· ภาวะขาดแคลนอุปทานได้หนุนให้ราคาพลาเดียมปรับขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ครั้งประวัติการณ์ ใกล้ 3,000 เหรียญ
· ราคาพลาเดียมเมื่อวานนี้ปิด +0.2% ที่ 2,932.31 เหรียญ ระหว่างวันทำสุงสุดที่ 2,981.99 เหรียญ
· แพลทินัมปิด -2.9% ที่ 1,183.77 เหรียญ
· ซิลเวอร์ปิด -1.1% ที่ระดับ 25.90 เหรียญ
· Ether ทำ Record High ใหม่เหนือ 2,800 เหรียญ ขณะที่ Bitcoin ปิดอ่อนตัวลงมา 54,471 เหรียญ
· บรรดานักเศรษฐศาสตร์ ชี้ ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯที่จะประกาศในคืนวันศุกร์ที่ 7 พ.ค. สัปดาห์หน้า อาจขยายตัวได้ราว 1 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย. จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาโตได้อีกครั้ง
· แผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ หนุนเศรษฐกิจไตรมาสแรกโตได้แข็งแกร่ง
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้อย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสที่ 1/2021 อันเป็นผลจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯอัดฉีดเม็ดเงินเศรษฐกิจขนานใหญ่ หนุนกลุ่มประชาชนรายได้ปานกลางและรายได้น้อย, กระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้บริโภค และคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ดีที่สุดในรอบเกือบ 40 ปี
Advance จีดีพีสหรัฐฯขยายตัวได้ 6.4% ในประมาณการณ์ครั้งแรกของไตรมาสที่ 1/2020 หลังจากที่ไตรมาสที่ 4/2020 ขยายตัวได้ 4.3% เรียกได้ว่าเป็นการขยายตัวของไตรมาสแรกที่ดีที่สุดตั้งแต่ปี 1984
· ไบเดนประกาศฟื้นประชาธิปไตยอเมริกากลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และกล่าวถึงความสำเร็จในการผลักดันโครงการฉีดวัคซีนในการทำงาน 100 วันแรก ทะลุกว่า 200 ล้านโดส
· แถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสครั้งแรก “ไบเดน” ย้ำแผน 1.8 ล้านล้านเหรียญ สำหรับเด็กและครอบครัว ภายใต้แผนค่าใช้จ่ายครั้งใหม่ที่จะรวมถึงการขยายการคืนภาษีผู้มีรายได้น้อยและขยายภาษีเงินคืนเด็ก
ภาพรวม นายไบเดนมีแผนจะผลักดันแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ ที่มีมูลค่าสูงกว่า 2 ล้านล้านเหรียญตลอดช่วง 8 ปีในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและโครงการอื่นๆ ควบคู่กับมุมมองการยกเครื่องแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯให้เป็นไปอย่างครบคลุม โดยเฉพาะปัญหาที่ได้รับจากวิกฤตไวรัสโคโรนา
แผนข้อเสนอฉบับใหม่นี้ จะมุ่งเน้นไปยัง 1 ล้านล้านเหรียญสำหรับการลงทุน และอีก 8 แสนล้านเหรียญสำหรับการขยายภาษีเด็กตลอดช่วงกว่า 10 ปี หรืออาจครอบคลุมระยะเวลา 15 ปี อันเนื่องจากการขึ้นภาษีคนรวยในสหรัฐฯ
· ไบเดนย้ำชัดต้องการขึ้นภาษีคนรวยให้ได้ 1.5 ล้านล้านเหรียญ
นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวถึงจุดยืนการมุ่งเน้นไปยังการขยายกองทุนเพื่อการศึกษา, สวัสดิการเด็ก และการจ่ายเงินชดเชย รวมทั้งการปฏิรูปการเก็บภาษีสหรัฐฯ สำหรับผู้มีรายได้ต่อปีเกิน 400,000 เหรียญ
ทั้งนี้ นายไบเดน กล่าวว่า แผน American Families Plan จะมีการรวมการขึ้นภาษีคนรวย โดยตั้งเป้ามูลค่าการเก็บภาษีสูง 1.5 ล้านล้านเหรียญ จากคนรวยในสหรัฐฯ
ภาษีคนรวยครั้งใหม่อาจสูงสุดแตะ 39.6% สูงสุด ก่อนที่จะมีการประกาศใช้แผนลดภาษี ปี 2017 ภายใต้การบริหารของนายทรัมป์
ณ เวลาก่อนหน้านั้นมีการเก็บภาษีต่ำกว่าที่ 37% ขณะที่ไบเดนมองว่าการเก็บภาษีคนรวย 39.6% คิดเป็นเพียง 1% ของคนร่ำรวยในประเทศ
· ไบเดน เรียกร้องสหรัฐฯ “จริงจัง” ด้านการแข่งขันกับจีนมากขึ้น ในเวลาเดียวกันการกล่าวถ้อยแถลงครั้งแรกของเขายังมีท่าทีเข้มงวดกับจีนและรัสเซีย
· ส.ว.สหรัฐฯให้การสนับสนุนการผ่านร่างงบประมาณโครงสร้างประปามูลค่า 3.5 หมื่นล้านเหรียญ อันเป็นหนึ่งในงบโครงสร้างพื้นฐานของไบเดน
· 3 ธนาคารขนาดใหญ่ของออสเตรเลียคาดผลประกอบการจะได้รับผลกระทบจาก Covid-19 กว่าเท่าตัว ได้แก่
- Westpac Banking Corp
- Australia and New Zealand Banking Group
- National Australia Bank (NAB)
· อ้างอิงประชาชาติธุรกิจ
-นักบริหารเงินคาดว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันนี้ แข็งค่าขึ้นที่ 31.27 บาทต่อดอลล่าร์ โดยคาดการณ์กรอบเคลื่อนไหวระหว่างวันแนวรับที่ 31.25 บาท แนวต้านที่ 31.40 บาท
โดยปัจจัยขับเคลื่อนตลาด ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณยังไม่พิจารณาการลดขนาดมาตรการซื้อสินทรัพย์ แม้จะประเมินว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากโควิด-19 ด้านนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐเตรียมเปิดเผยแผนครอบครัวชาวอเมริกัน วงเงิน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อสภาคองเกรส ส่วนเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากมีความคืบหน้าของแผนการกระจายวัคซีนและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัว
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
-ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้ร่วมกันเปิดตัวการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินรายย่อยของ 2 ประเทศ เป็นครั้งแรกของโลก ได้แก่ ระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ของประเทศไทย และระบบเพย์นาว (PayNow) ของประเทศสิงคโปร์ การเชื่อมโยงระบบในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือและการทำงานอย่างเข้มแข็งของทุกฝ่าย ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารกลางสิงคโปร์ ผู้ให้บริการระบบการชำระเงิน สมาคมธนาคาร และธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ
-นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯได้ปรับลดมุมมองเศรษฐกิจไทย ปี 64 มาที่เติบโต 2.2% จากเดิมที่คาดว่าเติบโต 2.6% จากการรับมือการระบาดโควิดรอบ 3 ที่ส่งผลกระทบการบริโภคในประเทศรุนแรง แต่มุมมองไม่ได้ปรับลดลงแรงมาก เพราะการส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตได้เกือบ 10% เป็นตัวสนับสนุนเศรษฐกิจ
-นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (RSI) ประจำเดือนเมษายน 2564 พบว่า ดัชนี RSI ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าทุกภูมิภาค เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019