“โพเวลล์” ย้ำ เฟดยัง “ห่างไกล”” จากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย และคาดเงินเฟ้อจะปรับลงปานกลาง
สรุปถ้อยแถลงของ นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดต่อคณะกรรมาธิการกำกับดูแลบริการด้านการเงินของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
ประธานเฟด กล่าวว่า เศรษฐกิจจำเป็นต้องฟื้นตัวมากขึ้นกว่านี้ ก่อนที่เฟดจะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินฉบับพิเศษ
ทั้งนี้ ถึงจะเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ “ตลาดแรงงาน” ยังคงอยู่ต่ำกว่าช่วงก่อนไวรัสระบาด
นอกจากนี้ นายโพเวลล์ยังย้ำถึง “ความคืบหน้าอย่างยั่งยืน” ในเรื่องการจ้างงานเต็มรูปแบบ และความมีเสถียรภาพของเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ดี ประธานเฟด กล่าวย้ำว่าสมาชิกเฟดเริ่มมีการหารือเรื่องการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ ขณะที่มุมมอง “เงินเฟ้อ” ยังคงปรับตัวได้อย่างสูงขึ้น และมีแนวโน้มจะขึ้นต่อไปอีกหลายเดือนก่อนจะปรับลดลง โดยที่เขายังคงเชื่อว่า การปรับขึ้นของเงินเฟ้อ ณ ปัจจุบัน เป็นการปรับขึ้น “ชั่วคราว” จึงอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยชดเชยเงื่อนไขการกลับมาสู่ภาวะปกติ ซึ่งการแรงกดดันเงินเฟ้อปัจจุบันยังเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจาก 2-3 ภาคอุตสาหกรรมบางส่วนมีการใช้รถยนต์ และการขาดแคลนกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ส ที่มีอุปสงค์ที่สูงมากจากหลายๆเหตุผล และน่าจะเป็นเงื่อนไขที่อ่อนไหวเป็นการชั่วคราว
และประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ประธานเฟดตอบข้อซักถามของสมาชิกคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯหลายราย ตั้งคำถามต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ ณ ปัจจุบันของเขา
ข้อซักถามเรื่อง “ความคืบหน้า”
ประธานเฟด กล่าวถึงการพิจารณาเรื่องการจ้างงาน และค่อนข้าง “เป็นเรื่องยาก” อย่างมากที่จะเห็นการกลับมาแกร่งได้ก่อนช่วงการระบาด
ดังนั้น ต้องเห็นความคืบหน้าเป็นอย่างมากก่อนที่เฟดจะตัดสินใจปรับมาใช้นโยบาย “คุมเข้มทางการเงิน” (Hawkish)
ทั้งนี้ ตลาดต่างๆจับตาไปยังสัญญาณที่เฟดจะเริ่มต้นหารือเรื่องการลด QE มูลค่า 1.2 แสนล้านเหรียญสำหรับการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือน และการคงดอกเบี้ยใกล้ระดับต่ำศูนย์
นายโพเวลล์ ระบุถึง 2 นโยบายสำคัญที่จะทำให้สัญญาณชี้นำของเฟดหนักแน่น คือ เรื่อง “อัตราดอกเบี้ย” และ “ยอดงบดุลของเฟด” ได้การันตีว่านโยบายการเงินของเฟดสนับสนุนเศรษฐกิจได้ดีอย่างต่อเนื่องจนเกิดการฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะเดียวกัน “เงื่อนไขของตลาดแรงงานยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง” แต่ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมาย และการจ้างงานต้องแข็งแกร่งมากขึ้นในเดือนต่อๆไป ตามเงื่อนไขทางด้านสาธารณสุขที่มีการฟื้นตัว เนื่องจากปัญหาของการระบาดบางส่วนยังเป็นปัจจัยที่กดดันการจ้างงานในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานสหรัฐฯปรับตัวลงจากสูงสุดช่วงการระบาด 14.8% สู่ระดับ 5.9% ในปัจจุบัน และเฟดยังคง “ให้ความสำคัญ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีผิว เชื้อชาติ และกลุ่มรายได้ต่างๆ
ที่มา: CNBC