ตลาดหุ้นชะลอการดิ่งลง หลังจากที่บริษัท China Evergrande ระบุถึงการจะจ่ายตราสารพันธบัตรของตนได้ จึงช่วยบรรเทาความกังวลของตลาด อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงให้ความสนใจไปยังผลการประชุมเฟดในคืนนี้
ตลาดหุ้นจีนร่วงลงไปมากกว่า 1% เมื่อเช้านี้ หลังจากตลาดปิดทำการเนื่องในวันหยุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ติดต่อกัน 2 วันทำการ ก่อนที่จะรีบาวน์กลับมาเล็กน้อย ท่ามกลางวิกฤตของบริษัท Evergrande
ขณะที่ตลาดทั่วโลกเผชิญแรงเทขายออกมาเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ท่ามกลางเหล่านักลงทุนจะจับตาดูตลาดจีนอย่างใกล้ชิดสำหรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
ดัชนี Shanghai composite และดัชนี Shenzhen component ร่วงลงมากกว่า 1%
ดัชนี Nikkei -0.39%
ดัชนี Topix -0.73%
ดัชนี Taiex -2.06%
ดัชนี S&P/ASX 200 +0.7%
สำหรับวันนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการเนื่องในวันหยุด
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 0.3%
· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความตึงเครียดที่เบาบางลงเกี่ยวกับบริษัท Evergrande ของจีนและนักลงทุนทั่วโลกกำลังรอผลการประชุมเฟดในค่ำคืนนี้ เพื่อหาสัญญาณการทำ Tapering QE
โดยดัชนี Stoxx600 +0.8% ท่ามกลางตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนบวก
- ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซนในเดือนก.ย.
- ตัวเลขยอดขายภาคอุตสาหกรรมของอิตาลีในเดือนก.ค.
- ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวดัตช์ในเดือนก.ค.
· อ้างอิงจากสำนักข่าวประชาติธุรกิจ
- หุ้นไทยวันนี้ (22 ก.ย.) ปิดตลาดภาคเช้า +1.68 จุด ซื้อขาย 4.1 หมื่นล้าน
การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (22 ก.ย.) ดัชนี SET Index ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1,616.54 จุด ปรับขึ้น +1.68 จุด หรือคิดเป็น +0.10% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 41,153 ล้านบาท เคลื่อนไหวในกรอบ 1,611.76-1,622.23 จุด โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่ SCB ADVANC และ DELTA
ดัชนี SET50 ปรับขึ้น +0.28 จุด หรือ +0.03% อยู่ที่ 967.67 จุด มูลค่าซื้อขายรวม 20,933 ล้านบาท คิดเป็นราว 50.86% ของมูลค่าซื้อ-ขายในตลาด SET
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวปัญหาฐานะทางการเงินที่ง่อนแง่นของบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดขายสูงสุดเป็นลำดับสองของจีน มีโครงการกว่า 1,300 โครงการ ใน280 เมืองและเป็นบริษัทเอกชนที่ได้ชื่อว่ามีหนี้มากที่สุดในโลกที่ 1.97 ล้านล้านหยวน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะประกาศผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งการชำระคืนหุ้นกู้ที่ออกในช่วงที่ผ่านมาด้วยนั้น
- ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.สนับสนุนแนวทางของภาครัฐที่ได้พิจารณาทบทวนกรอบสัดส่วน หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 60% เป็นไม่เกิน 70% เพื่อรองรับการกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากผลกระทบโควิด-19 และการล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับภาค ธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง และย่อม (เอสเอ็มอี) ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยชะลอตัว อย่างไรก็ตาม วงเงินดังกล่าวจำเป็นต้องวางแนวทางในการใช้
- "แอดวานซ์" ผนึก "ไทยพาณิชย์" ตั้งบริษัทร่วมทุน "เอไอเอสซีบี" รุกธุรกิจปล่อยสินเชื่อดิจิทัล เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการเงิน
- ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า หากรัฐบาลจะกู้เงินเพิ่มต้องกู้มาเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยถ้าอยากให้เศรษฐกิจโตกว่าศักยภาพที่ 3% เพราะในตอนนี้รายได้ครัวเรือนโตช้า ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ และส่งผลมายังหนี้ครัวเรือนไทยในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้าอาจเกิน 100% ต่อจีดีพี จากไตรมาสแรกปี 64 อยู่ที่ 90.5% ต่อจีดีพี เพราะเศรษฐกิจ
- ครม.จัดเต็มอนุมัติฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1.7 แสนล้าน รักษาระดับการจ้างงาน พยุงกำลังซื้อ ปรับทัวร์เที่ยวไทย-เราเที่ยวด้วยกัน พร้อมลดประกันสังคม 3 เดือน เพิ่มกำลังซื้อ ไฟเขียวงบกลางเพิ่มช่วยบัตรคนจน 2.7 หมื่นล้าน ด้านนักลงทุนต่างชาติทิ้งบอนด์ หวังเก็งรัฐกู้เพิ่ม