เงินเฟ้อสหรัฐฯอาจกลับมา “ร้อนแรง” อีกครั้ง ในเดือนก.ย. และเดือนต่อๆไป
ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯประจำเดือนก.ย. ที่จะประกาศในค่ำคืนนี้ มีแนวโน้มจะขยายตัวได้เทียบเท่ากับช่วงเดือนส.ค. และบรรดานักเศรษฐศาสตร์มองว่า “อาจเห็นเงินเฟ้อเคลื่อนตัวร้อนแรง” ตามมา
Dow Jones มีการเปิดเผย ผลสำรวจนักเศรษฐศาตร์ ที่คาดว่าจะเห็นเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย. อาจขยายตัวเพิ่มได้ราว 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน และอาจเห็นข้อมูลรายปีขยายตัวได้มากถึง 5.3% สำหรับการประกาศข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ คืนนี้ ในช่วงเวลา 19.30น. (ตามเวลาไทย)
นอกจากนี้ ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ถูกคาดว่า เดือนก.ย. จะเห็นเงินเฟ้อขยายตัวได้ 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และข้อมูลเทียบรายปีน่าจะขยายตัวได้บริเวณ 4%
ณ ขณะนี้ นักเศรษฐศาสตร์บางคน มีคาดการณ์เงินเฟ้อว่า “เข้าสู่จุดพีคแล้ว” แต่แรงกดดันจากปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน, ค่าเช่า และค่ายารักษาโรค ก็ดูจะทำให้เราเห็นเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นได้
ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อตลาด ซึ่งทำให้เกิดการคาดการณ์ที่ว่าอาจเป็นตัวแปร “บังคับให้เฟดต้องทำการขึ้นดอกเบี้ย เร็วกว่าคาด” ซึ่งจะเห็นได้จากสมาชิกเฟดเกินกว่าครึ่งเริ่มมีการคาดการณ์ถึงการขึ้นเงินเฟ้อในปีหน้าแล้ว
ขณะที่เฟดจะตัดสินใจเริ่มต้นทำ Tapering QE เร็วๆนี้
ภาพรวมสมาชิกเฟดคาดว่าเงินเฟ้อปีหน้าจะขยายตัวได้ราว 2.3% ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มคาดการณ์จาก 1.8% ที่เคยคาดไว้ในปีที่แล้ว ก่อนที่จะเผชิญกับปัญหา “ห่วงโซ่อุปทาน” ที่กำลังเป็น “ปัญหาใหญ่” ท่ามกลางสมาชิกเฟดที่ดูจะให้ความสนใจต่อข้อมูลการอุปโภคบริโภค (Core PCE Price Index) น้อยกว่าตัวเลข CPI
รายงานจากไอเอ็มเอฟ เมื่อวานนี้ ระบุถึง แนวโน้มผลกระทบจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานในรายงาน World Economic Outlook จึงทำให้ไอเอ็มเอฟตัดสินใจปรับคาดการณ์จีดีพีโลกปีนี้ลงสู่ระดับ 5.9% จากเดิมที่เคยคาดไว้ราว 6% (ลดลง 0.1%) ที่ได้รับผลจากปัญหา “Covid-19” และ “ห่วงโซ่อุปทาน”
นักวิเคราะห์ บางราย มองว่า “การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ” ดูจะกลายมาเป็น “ปัจจัยใหม่” ที่จะมาเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของเงินเฟ้อ
ภาพรวมราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นไปแล้วกว่า 65% และก๊าซธรรมชาติที่ราคาทะยานไปกว่าเท่าตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าถึงฤดูหนาวจัด เราอาจเห็นราคาพลังงานพุ่งสูงกว่านี้อีก และเมื่อนั้นก็ก่อให้เกิดคำถามว่าอาจจะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อมากอย่างไร?
ที่ม: CNBC