· Credit Suisse จะทำการลดการลงทุนในภาคธนาคารและมุ่งเน้นไปยังการให้บริการลูกค้าร่ำรวย เพื่อยกระดับและเปลีย่นรูปแบบภายใต้แนวทางบริหาร
· Credit Suisse ประกาศผลกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ลดลง 21% สู่ 434 ล้านฟรังก์สวิส (476 ล้านเหรียญ)
· กลุ่มเคมีภัณฑ์ของเยอรมัน Evonik Industries ( ) รายงานผลกำไรหลักในไตรนมาสที่ 3 ซึ่งสอดคล้องกับการประมาณการของนักวิเคราะห์ โดยอ้างถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในทุกแผนกและราคาที่สูงขึ้น
· Nippon Yusen และ Kawasaki Kisen Kaisha ได้รับผลกำไรรายไตรมาส เนื่องจากอัตราค่าระวางสินค้าที่สูงขึ้น ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายที่กระทบต่อซัพพลายเชนทั่วโลก
· หุ้นขึ้น หลังเฟดทำ Tapering QE ขณะที่ตลาดสนใจประชุมบีโออี
ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น หลังจากที่เฟดเริ่มดำเนินการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แม้ว่าข้อสงสัยเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อจะผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม
ขณะที่ตลาดหันไปสนใจการประชุมบีโออี ซึ่งอาจเริ่มวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางความไม่แน่นอนต่อตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก
สำหรับตอนนี้นักลงทุนในตลาดหุ้นพึงพอใจที่เฟดไม่รีบร้อนที่จะยกเลิกนโยบายและดัชนี Nasdaq Futures +0.2% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดัชนี S&P 500 futures เคลื่อนไหวทรงตัว
ดัชนี EUROSTOXX 50 futures +0.5%
ดัชนี FTSE futures +0.4%
ดัชนี Nikkei +0.8% แตะระดับสูงสุดในรอบเดือน
ดัชนี Shanghai composite +0.81% ที่ระดับ 3,526.87 จุด
ดัชนี Shenzhen component +1.305% ที่ระดับ 14,555.27 จุด
ดัชนี Hang Seng +0.4%
ดัชนี S&P/ASX 200 +0.48 ปิดที่ 7,428 จุด
ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่น +0.4%
ขณะที่ดัชนีเอเชียได้รับแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ในประเทศจีน ซึ่งคุกคามการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
สำหรับวันนี้ตลาดในสิงคโปร์ มาเลเซีย รวมทั้งอินเดียปิดทำการเนื่องจากเป็นวันหยุด
· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น เนื่องตลาดตลาดทั่วโลกตอบรับกับการเริ่มทำ Tapering QE ของเฟด
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx600 +0.6% ด้านหุ้นกลุ่มสุขภาพ +1.1% ท่ามกลางตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนบ
อ้างอิงจากสำนักข่าวข่าวสด
- โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดการณ์ว่าปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นมาในช่วงร้อยละ 4 ต่อไป คาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในไทย จำนวน 7 ล้านคน ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.8 ต่อไป เป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ การจ้างงานและการบริโภคภายในประเทศ
อ้างอิงจากสำนักข่าวไทยโพสต์
- รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยในโอกาสปาฐกถาพิเศษ Boost Up Thailand 2022 ทุบโจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย ซึ่งจัดโดยบริษัท มติชน จำกัด(มหาชน) ว่า ขณะนี้ประเทศไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วด้วยการทำงานของทุกภาคส่วนที่ต้องแข่งกับเวลาในช่วงที่ยากลำบาก เพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยปี 2565 ประเมินเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตได้ 5-6% แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่าจะกลับมาระบาดอีกหรือไม่เป็นปัจจัยเสี่ยง ที่สำคัญคือทุกคนทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชนต้องร่วมมือกันรักษาวินัยการควบคุมการแพร่ระบาด การเว้นระยะห่างทางสังคมตามแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุข เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ