ถ้อยแถลงสมาชิกเฟดส่วนใหญ่ มุ่งให้ความสนใจเรื่อง “ดอกเบี้ย” , “ตลาดแรงงาน” และ “เงินเฟ้อ”
รายงานจาก Reuters สะท้อนให้เห็นถึงการที่สมาชิกเฟดเริ่มมีการหารือถึงการประเมินต่อทิศทางข้อมูลแรงงานที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นของเงินเฟ้อว่าอาจจะยอมรับการขึ้นได้นานเท่าใด รวมทั้งอัตราการเพิ่มขึ้นเท่าใดจึงจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับเฟด
บรรดานักเศรษฐศาตร์ คาดหวังว่า รายงานของภาครรัฐบาลเกี่ยวกับข้อมูลเงินเฟ้อในสัปดาห์นี้ อาจเห็นดัชนี CPI รายปีปรับตัวสูงขึ้นไปที่ 5.8% ในเดือนต.ค. ซึ่งอาจสะท้อนถึงการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ยืนอยู่เหนือระดับ 5% สำหรับเงินเฟ้อรายปี
- นายริชาร์ด แคลริด้า รองประธานเฟด ระบุว่า ยังอีกนานกว่าเฟดจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย
เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยอาจอยู่ระหว่างช่วงสิ้นปี 2022 ได้ ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยให้อัตราว่างงานแตะ 3.8% ได้ภายในช่วงสิ้นปีหน้า
สำหรับมุมมองเงินเฟ้อ มองว่ามีการปรับขึ้นมากกว่าเป้าหมายที่เฟดมองไว้ในระยะยาวที่ 2% แต่เขาจะยังไม่พิจารณาแนวทางใดๆ จนกว่าจะดำเนินนโญบายให้เสร็จสิ้นภายในปีหน้า
- นายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีหน้า ท่ามกลางตลาดแรงงานที่เผชิญกับเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้น ท่ามกลางค่าแรงและค่าชดเชยรายได้ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
ขณะที่อัตราว่างงานที่ลดลงแตะ 4.6% ในเดือนต.ค. คาดว่าจะยังเห็นข้อมูลดังกล่าวอยู่สูงกว่า 3.5% ที่เป็นระดับก่อนไวรัสระบาด แต่ภาพรวมก็เคลื่อนไหวได้ดีและอยู่ต่ำกว่าสูงสุดที่เคยทำไว้ในเดือนเม.ย. ปี 2020
- นางมิเชล โบว์แมน หนึ่งในสมาชิกผู้ว่าการเฟด เล็งเห็นความเสี่ยงตลาดแรงงาน และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ พร้อมระบุถึงตลาดแรงงานที่ดูจะร้อนแรงมากเกินไป รวมถึงกังวลว่าปัญหาห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนแรงงานจะยิ่งผลักดันให้เงินเฟ้อพุ่ง
ขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อสูงดูจะสร้างความลำบากให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุและคนยากจน ประกอบกับราคาอาหารและพลังงานที่สูงก็อาจยิ่งทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ เธอยังมองว่า ไม่มีแนวโน้มที่เฟดจะทำค่าเงินดิจิทัลธนาคารกลางตอนนี้
- นายแพทริก ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด สาขาฟิลาเดเฟีย ไม่คาดหวังจะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าการทำ Tapering QE จะสิ้นสุดลง แต่ก็พร้อมจับตาเงิเนฟ้ออย่างใกล้ชิด
- นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก มอง เงินเฟ้อยังอยู่ระดับสูงในเวลานี้ มีแนวโน้มเป็นเพียงภาวะชั่วคราว และจะ “ไม่มีการขึ้นดอกเบี้ย” จนกว่าจะถึงปี 2023
สำหรับสัญญาณกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ทั่ว และอาจสร้างความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นได้มากกว่าที่เขาเคยคิดไว้ และเชื่อว่าเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการอดทนรอเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งเฟดสามารถรอได้จนถึงปี 2023 ก่อนที่จะตัดสินใจจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย