ทองคำและโลหะเงินมีปริมาณการซื้อขายอย่างเบาบางในช่วงกำลังเข้าสู่เทศกาลคริสมาสต์
· สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกโดยสัญญาทองคำกลับมายืนที่เหนือระดับ 1,800 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
· อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลกดดันราคาทองคำ จากการที่ทองคำจะมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อในเงินสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากเงินดอลลาร์
· ราคาทองคำยังไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ ความสนใจของตลาดกลับไปอยู่ที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ภาพของตลาดที่ยังมีความกังวลกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน จะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเลี่ยงการลงทุนในทองคำ ทำให้เกิดความเสี่ยงขาลงหรือ Downside risk ในการลงทุนทองคำ
· ราคาทองคำตลาดโลก ปิดเพิ่มขึ้น 0.7% ที่ระดับ 1,801.24 เหรียญ
· สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 13.5 ดอลลาร์ หรือ 0.75% ปิดที่ 1,802.2 เหรียญ
· สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 29 เซนต์ หรือ 1.29% ปิดที่ 22.819 เหรียญ
กองทุนทองคำ SPDR เมื่อวานนี้ทำการขายออก 4.94 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 973.63 ตัน ถือเป็นระดับต่ำสุดช่วงต้นเม.ย. ปี 2020
ภาพรวมเดือนธ.ค. ยังคงเป็นเดือนแห่งการขาย โดยขายสุทธิ 19.22 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ม.ค. - ปัจจุบัน มีการขายทองออกแล้ว 197.11 ตัน
· นักวิเคราะห์จาก Phillip Futures ระบุว่า “ทองคำมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง และผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดยังไม่สนใจในทองคำ จึงคาดการณ์ว่าตลาดทองคำจะคงย่ำแย่ ทองคำจะไม่มีแรงเคลี่ยนไหวและราคายังแกว่งตัวอยู่ในกรอบ”
· นักวิเคราะห์จาก Brown Brothers Harriman ชี้ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงตามสภาวะตลาดความกลัวความเสี่ยงหรือ Risk-off ที่ค่อยๆจางหายไป และคาดว่าค่าเงินจะอยู่ในภาวะพักฐานต่อไปอีก ตามสภาวะที่ยังขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่
· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในเช้าวันพุธในเอเชีย แต่การเคลื่อนไหวยังอยู่ในกรอบแคบเนื่องจากนักลงทุนยังคงประเมินผลกระทบของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เทียบค่าเงินดอลลาร์กับสกุลเงินอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 0.01% เป็น 96.498
· สหรัฐเผย GDP Q3/64 ขยายตัว 2.3% สูงกว่าประมาณการครั้งที่สอง
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2564 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.3% สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่สองที่ระดับ 2.1% และสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 2.1% ตามประมาณการครั้งที่สอง
ก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจกิจสหรัฐเติบโต 6.7% ในไตรมาส 2 และ 6.3% ในไตรมาส 1
ทั้งนี้ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในไตรมาส 3 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
สายพันธุ์เดลตา และการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต
· สหรัฐเผยยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย. แต่ซัพพลายยังตึงตัว
ยอดขายบ้านมือสองปรับตัวขึ้น 1.9% สู่ระดับ 6.46 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน แต่น้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 6.52 ล้านยูนิต
· Conference Board เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 115.8 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 111.9 ในเดือนพ.ย.โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 110.8
ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังคงขยายตัวในปีหน้า แม้เผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งกลับมาระบาดหนักอีกครั้งเพราะไวรัสกลายพันธุ์
· ECB ระบุว่าเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวและจะปรับลดลงในอนาคต
· ธนาคารกลางอังกฤษ อาจจะเริ่มกระบวนการลดขนาดงบดุลสินทรัพย์หรือ Quantitative Tightening หากในการประชุมครั้งหน้าที้จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าเริ่มขึ้นดอกเบี้ย
· เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรใกล้กลับบเข้าสู่ระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด การเติบโตของ GDP อยู่ที่ 1.5% ต่ำกว่าสิ้นปีที่ 2.1% เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังค่อนข้างล่าช้าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
· จีนวางแผนออก 10 มาตรการที่ประเทศจะดำเนินการเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลและการสนับสนุนผู้ผลิตและบริษัทขนาดเล็กอย่างเข้มแข็ง
· สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 72 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ จากปัจจัยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาด โดยสต็อกน้ำมันดิบลดลง 3.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 1.64 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 72.76 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.31 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 75.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
Covid-19
· ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก 276 ล้านคน สหรัฐอเมริกายังคงมีผู้ป่วยมากที่สุดในโลกด้วยจำนวนผู้ป่วย 51.3 ล้านราย และเสียชีวิต 810,164 ราย
· สถานการณ์โควิด-19 ในไทย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,940 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 2,173,138 ราย เสียชีวิต 30 ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 21,501ราย
· องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนมัติเร่งด่วนให้มีการจำหน่ายยาแพ็กซ์โลวิด สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่มีอาการระดับเริ่มต้นถึงปานกลางในผู้ใหญ่และเด็กอายุไม่ต่ำกว่า 12 ปี ที่จะสามารถใช้ยาจากที่บ้านได้โดยไม่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ซึ่งยาแพ็กซ์โลวิดนี้จะจำหน่ายโดยต้องมีใบสั่งจ่ายยาจากแพทย์เท่านั้น และควรใช้อย่างเร็วที่สุดภายใน 5 วันหลังมีอาการ
· กลุ่มในยุโรป ประเทศออสเตรีย เบลเยี่ยม สาธารณรัฐเชค และสเปน เริ่มพิจารณามาตรการ Lock down ครั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกมองว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน มากกว่าการ Lock down
· ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 3 นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากผลการวิจัยครั้งล่าสุดที่ระบุว่า ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น มีน้อยกว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา
· ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 35,753.89 จุด เพิ่มขึ้น 261.19 จุด หรือ + 0.74%,
· ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,696.56 จุด เพิ่มขึ้น 47.33 จุด หรือ +1.02%
· ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,521.89 จุด เพิ่มขึ้น 180.81 จุด หรือ +1.18%
· นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.65-33.85 บาท/ดอลลาร์
โดยมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตรา ดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมที่ 0.50% ไม่ได้ส่งผลต่อค่าเงินบาทมากนัก เนื่องจากเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้ว รวมทั้งปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้เป็น 0.9% จากเดิมที่ 0.7% โดยการปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลจากการขยายตัวของGDP ในไตรมาส 3/64 ดีกว่าที่คาดไว้
อย่างไรก็ดี ปัจจัยในประเทศและต่างประเทศที่ต้องติดตามในช่วงนี้ คือการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ เพิ่มจำนวนมากขึ้นในหลายประเทศนี้ มีทั้งที่ยังอยู่ในระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล และบางส่วนรักษาหายออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ขณะที่ทั่วโลก พบการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนแล้ว 95 ประเทศ