เกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ โดยตลาดถูกกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งและดัชี S&P ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดการณ์ อันเนื่องมาจากรายงานยอดค้าปลีกช่วงเทศกาลที่สดใสในสหรัฐ และจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
- อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือระดับ 1,800 เหรียญต่อออนซ์ แม้ว่าจะปรับลดลงต้อเนื่องมาจากจุดสูงสุดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์ที่ฟื้นตัวแข็งค่าขึ้นกดดันราคาทองคำ ทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,812 เหรียญต่อออนซ์ แต่จากระดับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับลดลงช่วยจำกัดการปรับตัวลงของราคาทองคำ
o ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง 0.04 เหรียญ หรือ 0.17% มาอยู่ที่ระดับ 1,811.10 เหรียญ
o สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปรับตัวขึ้น 2.3 เหรียญ หรือ 0.12% ปิดที่ 1,812.10 เหรียญ
o สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 4.9 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 22.989 เหรียญ
o กองทุนทองคำ SPDR เมื่อวานนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 973.63 ตัน ภาพรวมเดือนธันวาคม ขายสุทธิ 19.22 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 197.11 ตัน
มุมมองนักวิเคราะห์ต่างประเทศ
- นักวิเคราะห์อาวุโสของ Kitco กล่าวว่าแนวโน้มของทองคำในไตรมาสแรกของปี 2022 มีแนวโน้มที่ดีโดยมีปัจจัยหลักคืออัตราเงินเฟ้อและนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเล็กน้อยของFed แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น แต่ราคาทองคำวันนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวมากนักสาเหตุหลักประการหนึ่ง ที่ทำให้ขาดสภาพคล่องคือตลาดปิดในช่วงคริสต์มาส
- นักกลยุทธ์จากเครดิต สวิส มีมุมมองเชิงลบต่อทองคำ มองว่าทองคำมีโอกาสปรับตัวลดลงทะลุต่ำกว่า 1,500 เหรียญต่อออนซ์ การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) จะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลลบต่อราคาทองคำ ในขณะที่ทางเครดิต เชื่อว่า การที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาทอง แต่ปัจจัยหลักที่กดดันราคาทองคำคือ “อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง” แะลใช้สมมุติฐานเบื้องต้นว่าอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงกำลังอยู่ในช่วงการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และกำลังส่งผลลบต่อราคาทองคำอย่างต่อเนื่องต่อไป ในภาพใหญ่ของราคาทองคำ มองจุดต่ำสุดที่เป็นไปได้ที่แนวรับ 1,452/1,440 เหรียญต่อออนซ์
- Credit Suisse คาด ราคาทองคำจะอยู่แถว 1,850 เหรียญ ในปี 222 แต่ระยะยาวคาดจะทรงตัวบริเวณ 1,400 เหรียญ
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา คาดกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ 33.25-33.70 ตลาดเงียบเหงาท้ายปีก่อนหยุดยาว ค่าเงินบาทเผชิญแรงขายจากการเพิ่มความเข้มงวดสำหรับมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยว ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตามคาด เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ยกเว้นเงินเยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา
o ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.05% สู่ระดับ 96.07
- คู่เงินสกุลยูโรดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบบริเวณ 1.1300 ประกอบกับปริมาณการซื้อขายที่เบาบางช่วงหลังเทศกาลคริสต์มาส ในช่วงเวลาที่เหลือของปี ไม่มีการประกาศตัวเลขที่สำคัญ จึงประเมินว่ากรอบการซื้อขายจะคงที่และปริมาณการซื้อขายจะยังคงน้อยต่อไปจนสิ้นปี
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวลดลงแตะ 1.479% จากนักลงทุนประเมินผลกระทบโอไมครอนต่อเศรษฐกิจ
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (27 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮ ขานรับรายงานยอดค้าปลีกช่วงเทศกาลที่แข็งแกร่งในสหรัฐ รวมทั้งผลวิจัยจากหลายสถาบันที่ระบุว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนมีความเสี่ยงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา
o ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,302.38 จุด เพิ่มขึ้น 351.82 จุด หรือ +0.98%,
o ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,791.19 จุด เพิ่มขึ้น 65.40 จุด หรือ +1.38%
o ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,871.26 จุด เพิ่มขึ้น 217.89 จุด หรือ +1.39%
- รายงานจาก Mastercard SpendingPulse ระบุว่า ยอดขายในช่วงวันหยุดสหรัฐหรือ U.S. holiday Sales นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนถึง 24 ธันวาคม เติบโต 8.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยยอดขายเติบโตทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ กลุ่มที่มียอดขายเติบโตสูงสุดสามกลุ่มได้แก่ (1) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เติบโต 47% (2) อัญมณีเครื่องประดับ เติบโต 32% และ (3) สินค้าอิเล็คโทรนิคส์เติบโต 16%
- สำนักวิจัยซีไอเอ็มบีไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 65 จะดีกว่าปี 64 เพราะอย่างน้อยคนไทยมากกว่า 70% ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดแล้ว และกำลังเดินหน้ารับเข็มกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าแม้จะมีการระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน แต่ GDP ปี 65 ยังน่าจะขยายตัวได้ 3.8% ตามที่คาดไว้เมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา
- กระทรวงการคลังจีนได้ออกมาเปิดเผยในวันนี้ว่า จีนจะออกนโยบายการคลังเชิงรุกในปี 2565 เพื่อสร้างเสถียรภาพต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ระบุว่า รัฐบาลจีนจะเปิดตัวมาตรการลดภาษีและค่าธรรมเนียมรอบใหม่เพื่อสนับสนุนบรรดาธุรกิจ และสนับสนุนให้ธุรกิจลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานนอกจากนี้ จีนได้ออกโควต้าล่วงหน้าสำหรับพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นพิเศษวงเงิน 1.46 ล้านล้านหยวน (2.29 แสนล้านดอลลาร์) ประจำปี 2565
- ผลตผลิตภาคโรงงานญี่ปุ่นสูงเกินคาดแตะ 7.2% ในเดือนพ.ย. จากการผลิตรถยนต์
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทะลุระดับ 75 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ ขานรับคาดการณ์ที่ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในปีหน้า
o สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.78 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 75.57 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 2564
o ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 2.46 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 78.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัได้รับแรงกดดันจากการยกเลิกเที่ยวในสหรัฐ หลังจากสายการบินสั่งปิดเที่ยวบินหลายพันเที่ยวในสหรัฐอเมริกาในช่วงวันหยุดคริสต์มาสท่ามกลางการติดเชื้อ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้น สายการบินประสบปัญหาขาดแคลนพนักงาน เนื่องจากนักบินและพนักงานต้อนรับบนเครื่องจำนวนมากต้องถูกกักตัว จากสาเหตุการติดเชื้อโควิด-19
- ตลาดยังให้ความสนใจต่อการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันที่ 4 ม.ค.2565 เพื่อพิจารณานโยบายการผลิตสำหรับเดือนก.พ. 2565
ข่าวเกี่ยวกับ Covid-19
- รายงานจาก Worldometers ล่าสุด พบติดเชื้อโควิดใหม่รายวันทะลุ 671,000 ราย ส่งผลให้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกทะยานแตะ 281.63 ล้านราย และเสียชีวิตสะสมที่ 5.42 ล้านราย รักษาหายแล้วทั่วโลก 250.85 ล้านราย
- ศูนย์ข้อมูล COVID-19 ของรัฐบาล และศูนย์ EOC กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รายงาน สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 5,854 ราย วันนี้มีผู้ติดเชื้อเข้าข่าย/ATK อีก 1,622 ราย กำลังรักษา 79,250 ราย อาการหนัก 1,395 ราย และอาการหนักใช้ท่อช่วยหายใจ 330 ราย ในขณะที่ผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 2,077,950 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 6,354 ราย หายป่วยสะสม 1,979,430 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 79,250 ราย และ เสียชีวิต 30 ราย
- นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เตรียมหารือกับที่ปรึกษาด้านการแพทย์ในวันนี้ ก่อนที่รัฐบาลจะทำการพิจารณายกระดับคุมเข้มมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสัปดาห์นี้ กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 122,186 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2563 ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศมากกว่า 11.8 ล้านราย ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐ อินเดีย และบราซิล
- รัฐบาลอังกฤษ เผย จะไม่ทำการใช้มาตรการสกัดโควิดรอบใหม่ในปีนี้
- ฝรั่งเศสรายงานยอดติดเชื้อโควิดรายวัน 100,000 คนสูงเป็นประวัติการณ์ โดยขณะนี้ฝรั่งเศสเริ่มพิจารณาปรับใช้มาตรการเข้มงวดขึ้น เช่น การให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้วเท่านั้นที่สามารถเข้าผับบาร์ร้านอาหารได้ อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสยังไม่ได้ใช้มาตรการล็อคดาวน์
- ศบค.เผยไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนสะสมเพิ่มเป็น 514 ราย สัดส่วน 2 ใน 3 เป็นผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ และอีก 1 ใน 3 เป็นการสัมผัสกับผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ส่วนใหญ่ในภาพรวมแล้วมีอาการไม่มาก มีอาการไอมากสุด เป็นการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไม่มีอาการของเชื้อลงปอด
- รายงานเช้านี้ ไทยพบติดเชื้อโควิดเพิ่มรายใหม่ 2,305 ราย เสียชีวิตใหม่ 32 ราย
- โควิดเวฟ 4 เศรษฐกิจไทยรับมือได้แค่ไหน CIMBT ประเมิน 3 Scenario
1) โอไมครอนไม่ระคาย GDP ไทยโตได้ 3.8% ตามคาด
2) ไม่ล็อกดาวน์แต่กระทบภาคบริการไตรมาสแรก GDP ไทยทั้งปีโตเฉียด 3%
3) โอไมครอนลามภาคการผลิต ห่วงโซ่อุปทานชะงักงัน GDP ไทยเสี่ยงต่ำ 3%
- กระทรวงสาธารณสุข แจง 3 ฉากทัศน์ (Scenario) สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ช่วงไตรมาส 1 ปี 65 แม้จะเป็นกรณีดีสุด ก็ยังคาดเห็นยอดผู้ป่วยใหม่เพิ่มแตะ 1 หมื่นราย/วัน เสียชีวิต 40-60 ราย/วัน ขณะที่กรณีแย่สุด คาดยอดผู้ป่วยใหม่ เพิ่ม 3 หมื่นราย/วัน เสียชีวิต 170-180 ราย/วัน ซึ่งตัวเลขการระบาดที่คาดว่าจะกลับมาพุ่งสูง เป็นผลจากการแพร่ระบาดที่รวดเร็วของสายพันธุ์โอมิครอนเป็นสำคัญ
- คลังเชื่อ ’โอมิครอน’ ไม่กระทบเศรษฐกิจไทย
กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศปรับลดจีดีพีในปีหน้าลงจาก 3.9% เหลือ 3.4%นั้น เป็นการประเมินผลกระทบจากโอมิครอนในระดับที่รุนแรงไว้แล้ว แต่สำหรับกระทรวงการคลังนั้น เรายังต้องประเมินว่า ผลกระทบจะรุนแรงแค่ไหน จะเหมือนสายพันธุ์เดลต้าหรือเปล่า จึงตอบไม่ได้ว่า จะกระทบมากน้อยเพียงใด