Hilight ประจำวัน
- ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.50% เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 30 ปี และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2547 ในขณะที่สมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงิน 4 รายจาก 9 รายลงมติให้ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 0.75% นอกจากนี้ ธนาคารกลางอังกฤษว่าเงินเฟ้อจะไปแตะระดับสูงสุดที่ 7.25% ในเดือนเมษายนนี้
- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะแตะระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดย ธนาคารกลางยุโรป ประเมินว่า เงินเฟ้อระดับสูงจะทยอยลดลงตลาดช่วงปี แต่เหล่านักเศรษฐศาสตร์ยังคงสงสัยและมองว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงอย่างยาวนาน ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ -0.5% และธนาคารกลางยุโรปจะยุติโครงการ Pandemic emergency purchase programme (PEPP) หรือ QE มูลค่ากว่า 1.85 ล้านล้านยูโรภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ แต่ก็ยังมีมาตรการพร้อมสนับสนุนเศรษฐกิจหากเผชิญภาวะยากลำบาก
- จำนวนผู้ขอรับสว้สดิการว่างงานสหรัฐปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ อยู่ที่ 238,000 ราย ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 245,000 ราย และลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 261,000 ราย เป็นผลจากความต้องการแรงงานค่อนข้างสูงและผลกระทบจากการระบาดโควิดโอมิครอนเริ่มหมดไป
ความเห็นนักวิเคราะห์ต่างประเทศ
- นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์จากธนาคาร ANZ ระบุว่า “ให้จับตาการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-farm Payroll) จะเป็นตัวเลขการยืนยันการอ่อนตัวลงของตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เฟดตัดสินชะลอความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ในระยะสั้น ยังมองอัตราเงินเฟ้อและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนราคาทองคำ
- นักวิเคราะห์อาวุโสจาก OANDA ระบุว่า ทองคำถูกกดันอีกครั้ง จากความจริงที่ว่าเหล่าบรรดาธนาคารกลางจะเริ่มทยอยมีความคิดที่จะใช้นโยบายการเงินเข้มงวด เพื่อเป็นหลักประกันในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
- นักเศรษฐศาสตร์ของ CIBC Capital Markets มองว่าดอลลาร์จะปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ย หลังจากแกว่งตัวอยู่ในกรอบระยะรวบรวมกําลัง (Consolidation) ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดเริ่มรับรู้ถึงการแนวทางขึ่้นดอกเบี้ยหลังปี 2023 ตามแนวโน้มความเร็วการขึ้นดอกดบี้ยของเฟดที่คาดว่าจะมากขึ้น โดยให้รายละเอียดว่า “ตลาดได้สะท้อนราคาของข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือนมีนาคมแล้ว และตลาดยังเริ่มสะท้อนราคาว่ามีโอกาส 30% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมีนาคม ในขณะที่เราคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ ตลาดได้มองไปถึงการชึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้งในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่เฟดเร่งยุติการเข้าซื้อพันธบัตร พร้อมส่งสัญญาณการลดขนาดบัญชีธนาคารกลางไปปล้ว ทางเราจึงมองว่าเฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้”
- นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์จาก UBS กล่าวว่า จากภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk off)และดอลลาร์แข็งค่า เป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน และยังมีปัจจัยอื่นได้แก่ การที่ตลาดเริ่มรับรู้ว่า สถานการณ์ความตึงเครียดในยุโรปตะวันออกและตะวัออกกลาง ไม่ได้กระทบถึงการผลิตน้ำมันจนหยุดชะงัก
ที่มาจาก : Reuters, CNBC, FXstreet, Kitco