• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 26 สิงหาคม 2565

    26 สิงหาคม 2565 | Gold News


ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันพฤหัสบดี เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการชะลอตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮลในวันนี้

 

  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 5.52 เหรียญ หรือ 0.32% มาอยู่ที่ระดับ 1,755.72 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 9.9 ดอลลาร์ หรือ 0.56% ปิดที่ 1,771.4 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 21.3 เซนต์ หรือ 1.13% ปิดที่ 19.12 ดอลลาร์/ออนซ์
  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 984.38 ตันภาพรวมเดือนสิงหาคม ขายสุทธิ 21.49 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 8.72 ตัน

 

  • ผู้อำนวยการของ GoldSilver Central กล่าวว่า ในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล  เฟดอาจส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ท่ามกลางการจับตาของตลาดที่ต้องการความชัดเจน อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินของเฟดยังคงเป็นปัจจัยหลักสำหรับตลาดทองคำในระยะสั้น และการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค

 

ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง


  • ดัชนีดอลลาร์เช้านี้ ปรับตัวขึ้น 0.14 จุด หรือ 0.13% มาอยู่ที่ระดับ 108.56 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี เช้านี้ปรับตัวขึ้น 0.015% มาอยู่ที่ระดับ 3.045% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี  อยู่ที่ระดับ 3.384% และส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ อยู่ที่ระดับ -0.339%

 

  • นักวิเคราะห์ของธนาคารคอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลีย กล่าวว่า "การคาดการณ์ที่ว่านายพาวเวลล์จะแสดงความเห็นแบบสายเหยี่ยวที่แจ็คสัน โฮลมีแนวโน้มที่จะยังคงช่วยหนุนดอลลาร์สหรัฐไว้ต่อไป อย่างไรก็ดี มีความเสี่ยงที่ตลาดอาจจะมองว่า นายพาวเวลล์ไม่ได้ส่งสัญญาณแบบสายเหยี่ยวมากพอ และปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงมาบ้าง"

 

  • หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของบริษัทบานน็อคเบิร์น โกลบัล ฟอเร็กซ์กล่าวว่า "ถึงแม้นักลงทุนปรับเปลี่ยนความเห็นไปมาระหว่างความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อกับความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารกลางก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะธนาคารกลางมุ่งความสนใจเกือบทั้งหมดไปยังภาวะเงินเฟ้อ

 

  • กรรมการคณะกรรมการนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) กล่าวว่า บีโอเจต้องดำเนินมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ต่อไปเพื่อหนุนเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอีกครั้ง และภาวะอุปสงค์ที่ชะลอตัวทั่วโลก ซึ่งเป็นการตอกย้ำการสวนทางของบีโอเจท่ามกลางกระแสการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก

 

  • ธนาคารกลางเกาหลีปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.50% เมื่อวานนี้ ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จาก ANZ Bank คาดว่า ธนาคารกลางเกาหลี จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 0.25% ในทั้งเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน

 

ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ


  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในวันพฤหัสบดี (25 ส.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมแจ็กสัน โฮล ในวันนี้

 

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,291.78 จุด พุ่งขึ้น 322.55 จุด หรือ +0.98%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,199.12 จุด เพิ่มขึ้น 58.35 จุด หรือ +1.41% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,639.27 จุด พุ่งขึ้น 207.74 จุด หรือ +1.67%

 

  • สื่อของทางการจีนรายงานโดยอ้างคณะรัฐมนตรีจีนว่า จีนจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อหนุนเศรษฐกิจ โดยจะเพิ่มนโยบายใหม่ 19 นโยบายนอกเหนือไปจากมาตรการเดิมที่ประกาศในเดือนพ.ค.ซึ่งรวมถึงการเพิ่มโควต้าเครื่องมือการให้สินเชื่อนโยบาย 3.00 แสนล้านหยวน(4.369 หมื่นล้านดอลลาร์) เป็นการสนับสนุนด้านการเงินสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มความสนับสนุนบริษัทเอกชน และบริษัทด้านเทคโนโลยี

 

  • สำนักคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจประจำเดือน โดยระบุว่า เศรษฐกิจ "กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นปานกลาง" ซึ่งเป็นการคงการประเมินโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน แต่ก็ได้ทบทวนปรับขึ้นผลผลิตภาคอุตสาหกรรม

 

ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน


  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลที่ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลง นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าหากการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและชาติตะวันตกมีความคืบหน้า ก็อาจปูทางให้อิหร่านกลับมาส่งออกน้ำมันได้อีกครั้ง

 

  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 2.37 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 92.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.88 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 99.34 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

  • สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัสเซียได้ยื่นข้อเสนอต่อหลายประเทศในเอเชียเพื่อทำสัญญาระยะยาวในการขายน้ำมันที่ระดับราคาต่ำกว่าตลาดถึง 30% ทั้งนี้ รัฐมนตรีท่องเที่ยวของอินโดนีเซีย ระบุในอินสตาแกรมว่า "ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียได้ยื่นข้อเสนอต่ออินโดนีเซียเพื่อขายน้ำมันในราคาที่ต่ำกว่าตลาดถึง 30%" พร้อมเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย กำลังพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว แต่ก็มีหลายฝ่ายกังวลว่าอินโดนีเซียอาจถูกสหรัฐคว่ำบาตร หากยอมรับข้อเสนอของรัสเซีย

 

  • นักวิเคราะห์จาก Citi ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่สามารถปรับขึ้นกลับมาแตะระดับ 100 เหรียญในวันก่อนหน้าได้ เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของซาอุดิอาระเบียแสดงจุดยืนที่สนับสนุนราคาน้ำมัน และชี้ว่า พร้อมลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคพลัสถ้าจำเป็น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนในการปรับลดกำลังการผลิตของโอเปคพลัส ท่ามกลางการเจรจานิวเคลียร์อิหร่าน และความไม่แน่นอนจากภาพเศรษญกิจที่กำลังถดถอยลง กดดันราคาน้ำมัน

 

ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ

 

  • ไต้หวันประกาศว่า จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมมากเป็นประวัติการณ์ในปีหน้า เนื่องจากวางแผนจัดซื้อเครื่องบินรบและขีปนาวุธต่อต้านเรือเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันการรุกรานจากจีน

 

  • ทางการยูเครนเปิดเผยว่า รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธใส่เมืองแชปลินทางตะวันออกของยูเครนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันชาติของยูเครน และยังเป็นวันครบรอบ 6 เดือนนับตั้งแต่ที่รัสเซียบุกยูเครนด้วย โดยการโจมตีครั้งนี้ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต 22 ราย

 

  • นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษให้คำมั่นว่า จะส่งโดรนและขีปนาวุธต่อต้านรถถังจำนวนมากไปยังยูเครน ในระหว่างที่เขาเดินทางไปเยือนกรุงเคียฟของยูเครนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า

 

  • สื่อของรัฐบาลอิหร่านรายงานว่า อิหร่านได้เปิดฉากการฝึกซ้อมเพื่อทดสอบโดรนรบและโดรนลาดตระเวน ท่ามกลางความกังวลของสหรัฐว่าอิหร่านอาจจะขายโดรนให้รัสเซียนำไปใช้ในสงครามยูเครน

         

ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด


  • สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,749 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมแล้วจนถึงวันนี้ 4,643,012 ราย ยอดผู้ติดเชื้อนอกโรงพยาบาล (ATK) ระหว่างวันที่ 14-20 ส.ค.2565 จำนวน 204,250 ราย สะสม 7,528,141 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 28 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 10,468 ราย ขณะที่ ภาพรวมของการเสียชีวิตจากสถานการณ์โควิด-19 มีผู้เสียชีวิตรวม 32,166 ราย

 

  • องค์การอนามัยโลก (WHO) สรุปรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำสัปดาห์ ว่า ขณะนี้ บีเอ.5 ตัวแปรย่อยของไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอน คิดเป็นสัดส่วนถึง 70% ของไวรัสที่มีการแชร์กันในฐานข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการแพร่ระบาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่สัดส่วนทั้งหมดของสายพันธุ์โอมิครอนที่พบเมื่อเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 99%

 

ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท


  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ ที่ระดับ 35.82 บาทต่อดอลลาร์ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.70-36.00 บาทต่อดอลลาร์

 

  • ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงต่อไปจะทยอยปรับกลับเข้าสู่ภาวะปกติ (Policy normalization) เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงินและสมดุลความเสี่ยงใหม่ที่ให้น้ำหนักกับเงินเฟ้อมากขึ้น โดยเน้นให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด (Smooth takeoff)

 

  • ดร. เศรษฐพุฒิ เสริมว่า ข้อกังวลความเสี่ยงเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศ ที่จะส่งผลต่อเงินทุนไหลออกและเงินบาทอ่อนค่า ไม่ได้ให้น้ำหนักเป็นความเสี่ยงมากที่สุด เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าเพราะเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเป็นหลัก สอดคล้องกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค โดยตั้งแต่ต้นปีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 13% ส่วนเงินบาทอ่อนค่า 8% อ่อนค่ากว่าค่าเงินริงกิตมาเลเซีย แต่ดีกว่าค่าเงินเปโซฟิลิปปินส์ ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี ยังมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าไทยสุทธิ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนความเสี่ยงบอนด์ยีลด์พุ่งสูงไม่น่ากังวล เพราะระบบเศรษฐกิจไทยทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนพึ่งพาเงินทุนจากระบบธนาคารเป็นหลัก

 

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เผยยอดขายรถยนต์ภายในประเทศทั้งระบบในเดือนก.ค. อยู่ที่ 64,033 คัน เพิ่มขึ้น 22.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับเดือนมิ.ย. อยู่ที่ 67,952 คัน เพิ่มขึ้น 4.58% ยอดขายรถยนต์ในเดือนก.ค.ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และการส่งออกที่ยังขยายตัว ส่งผลดีต่อการผลิตและการจ้างงาน

 

ที่มาจาก : Reuters, FXstreet, Infoquest, มติชน, กรุงเทพธุรกิจ

 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com