• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2565

    7 ตุลาคม 2565 | Gold News

ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


 

  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดทรงตัวในวันพฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. ก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ในวันนี้

 

  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -6.7 เหรียญ หรือ -0.39% อยู่ที่ระดับ 1,711.8 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดทรงตัวเท่าเดิม ที่ระดับ 1,720.8 เหรียญ
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 11.6 เซนต์ หรือ 0.56% ปิดที่ 20.66 เหรียญ
  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 946.34 ตันภาพรวมเดือนตุลาคม ซื้อสุทธิ 6.64 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 29.32 ตัน

 

  • นักวิเคราะห์จาก OANDA ระบุว่า ราคาทองคำจะปรับตัวเป็นขาขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐที่มากกว่านี้ และเงินเฟ้อชะลอตัวลง ทั้งนี้ ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในกรอบ 1,680 - 1,740 เหรียญไปจนกว่าจะมีการรายงานทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-Farm Payroll) ในคืนวันศุกร์ และตัวเลขเงินเฟ้อ

 

  • นักวิเคราะห์จาก DailyFX ระบุว่า หากรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non-Farm Payroll) ในคืนวันศุกร์ ต่ำกว่าที่ตลาดคาด จะช่วยจำกัดเฟดในการใช้นโยาบายการเงินเข้มงวด ซึ่งจะช่วยลดความกังวลของตลาดและเปิดโอกาสให้ทองสามารถปรับตัวขึ้นได้ จากค่าเงินดอลลาร์ที่ถูกลดทอนฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

 

ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง

 


  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 1.32 จุด หรือ 1.19% มาอยู่ที่ระดับ 112.25 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.07 % มาอยู่ที่ระดับ 3.821% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.12 % มาอยู่ที่ระดับ 4.268% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.45% อยู่ในภาวะ inverted yield curve

 

  • นักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทเดส์ฌาร์แดงส์กล่าวว่า "การขายดอลลาร์สหรัฐออกมาอาจจะช่วยจำกัดช่วงขาลงของสกุลเงินประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่การทำเช่นนี้จะไม่สามารถยุติการดิ่งลงของสกุลเงินประเทศตลาดเกิดใหม่ได้ เพราะว่านักลงทุนจะยังคงหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นเรื่อย ๆ"

 

  • หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของซิตี้ เอเชีย-แปซิฟิกตั้งข้อสังเกตว่า "ดุลการค้าของจีนมีแนวโน้มที่จะตกต่ำลงอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นในปีงบประมาณ 2023-2024 ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังคงอยู่ที่ระดับเดิม และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างจีนกับสหรัฐจะมีค่าติดลบมากยิ่งขึ้นไปอีก และปัจจัยดังกล่าวอาจจะยังคงกดดันหยวนต่อไป"

 

  • นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอตแลนตาเปิดเผยว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 4% – 4.5% ภายในเดือนธ.ค.ปีนี้ และจากนั้นควรพักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

  • ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในเดือนก.ย.ร่วงลงมากที่สุดในรอบราว 14 ปี เนื่องจากทางการเกาหลีใต้ได้เทขายสกุลเงินดอลลาร์ในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศ เพื่อชะลอการอ่อนค่าของสกุลเงินวอน

 

ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ


 

  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดในวันพฤหัสบดีโดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลที่ว่า การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันนี้

 

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,926.94 จุด ร่วงลง 346.93 จุด หรือ -1.15%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,744.52 จุด ลดลง 38.76 จุด หรือ -1.02% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,073.31 จุด ลดลง 75.33 จุด หรือ -0.68%

 

  • หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีของสหรัฐในไตรมาส 3 ขึ้นอีก 1% เต็มสู่ระดับ 1.9% จาก 0.9% หลังจากที่รายงานดัชนีทางเศรษฐกิจหลายตัวออกมาสูงเกินคาด โดยระบุถึงการจ้างงานภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นสูงเกินศักยภาพในเดือนกันยายน ซึ่งเห็นได้จากดัชนีการจ้างงานทั่วประเทศของเอดีพี และยอดขาดดุลการค้าที่ลดลงในเดือนสิงหาคม ซึ่งออกมาสูงกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้านี้ ในขณะที่ รายงานอีกฉบับของโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า มีความเป็นไปได้ 35% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า

 

  • สำนักงานสถิติยุโรป เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกของยูโรโซนร่วงลงในเดือนส.ค. ชี้ให้เห็นถึงอุปสงค์ของผู้บริโภคที่อ่อนแอ และตอกย้ำว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกใน 19 ประเทศของยุโรปซึ่งใช้สกุลเงินยูโรร่วมกันปรับตัวลดลง 0.3% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน และ 2.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี

 

  • ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของธนาคารอังกฤษ (บีโออี) ลงสู่ระดับ "เชิงลบ" จากเดิม "มีเสถียรภาพ" โดยระบุว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ของรัฐบาลมีความเสี่ยงที่จะทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของอังกฤษปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ เรทติ้งส์ ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษไว้ที่ AA- ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดระดับที่ 4

 

  • ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เปิดเผยว่า การคาดการณ์ของภาคธุรกิจอังกฤษต่อดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในระยะเวลาหนึ่งปีเพิ่มขึ้นแตะ 9.5% ในเดือนก.ย. จาก 8.4% ในเดือนส.ค.
  • รองนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เปิดเผยว่า นิวซีแลนด์จะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แม้เผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และในขณะที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ยังคงคุมเข้มนโยบายการเงินเชิงรุกเพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อก็ตาม

 

  • บรรดาผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเดินเรือคาดการณ์ว่า ความต้องการด้านการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ของจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ เนื่องจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการผลิตเหล็กในจีนปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันจีนก็เพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันด้วย

 

  • สำนักงบประมาณ บัญชี และสถิติของไต้หวัน เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อไต้หวันร้อนแรงขึ้นในเดือนก.ย. โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ เพิ่มขึ้นแตะ 2.75% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์

 

  • โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ คาดการณ์ว่า ราคาบ้านในฮ่องกงจะปรับตัวลดลง 30% จากระดับของปีที่แล้ว โดยถือเป็นคาดการณ์เชิงลบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้บั่นทอนตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ย่ำแย่ลงไปอีก

 

ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน


 

  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ในวันพฤหัสบดีเนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปี

 

  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 88.45 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 2565
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์ หรือ 1.1% ปิดที่ 94.42 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2565

 

  • นักวิเคราะห์จาก JP Morgan ระบุ 4 เหตุผลสนับสนุนคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะปรับตัวสู่ระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรลอีกครั้ง ดังนี้
    • 1. ความต้องการน้ำมันของโลกจะปรับตัวสูงขึ้นอีก 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันมรข่วงไตรมาสที่ 4 โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤติก๊าซธรรมชาติ ขาดแคลน หนุนให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันทดแทน
    • 2. การปล่อยน้ำมันจากคัลงสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ขิงสหรัฐจะปรับลดลงหรืออาจถูกยกเลิก
    • 3. มีความเป็นไปได้น้อยที่การเจรจานิวเคลียร์กับอิหร่านจะประสบความสำเร็จ
    • 4. การคว่ำบาตรรัสเซียจำกัดอุปทานน้ำมันโลก รวมถึงการที่ยุโรปจะเริ่มบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียผ่านทางเรือขนส่งในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ซึ่งมีปริมาณสูงถึง 4.1 ล้านบาร์เรล

 

  • นักวิเคราะห์จาก Citibank ระบุว่า ระดับผลกระทบจากการที่กลุ่มโอเปคพลัสปรับลดกำลังการผลิต ขึ้นอยู่กับความยาวนานของระยะเวลาของข้อตกลงการรวมกลุ่มเป็นโอเปคพลัส ซึ่งทางโอเปคพลัสก็ตัดสินใจขยายข้อตกลงดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปี 2023 

 

  • นักวิเคราะห์จาก RBC Capital คาดว่า การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปคพลัสปริมาณกว่า 500,000 บาร์เรลจาก 2 ล้านบาร์เรลที่ประกาศ จะมาจากการปรับลดกำลังการผลิตโดยประเทศซาอุดิอาระเบีย

 

  • มอร์แกน สแตนลีย์ ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันสำหรับไตรมาสแรกของปี 2566 และคาดการณ์ว่าอุปทานจะตึงตัวในอนาคต หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปี ประกอบกับการที่ยุโรปคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย

 

ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ


 

  • สภาพยุโรปเห็นชอบขั้นสุดท้าย มาตรการคว่ำบาตรรอบ 8 ซึ่งกำหนดเล่นงานรัสเซีย ลงโทษกรณีรุกรานยูเครน อย่างไรก็ตามข้อเสนอจำกัดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียที่ขนส่งทางทะเล ที่อยู่ภายในแพ็คเกจคว่ำบาตรดังกล่าว อยู่ระหว่างรอดำเนินการให้สอดคล้องกับกลุ่มจี7 ท่าทีลังเลที่เกิดขึ้น หลังจากรัสเซียขู่ว่าอาจปรับลดกำลังผลิตเพิ่มเติม ชดเชยผลกระทบจากมาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมัน

 

  • ประธานคณะกรรมการกิจการจีนแผ่นดินใหญ่ของไต้หวันระบุว่า จีนมีแนวโน้มบีบบังคับและข่มขู่ไต้หวันเพิ่มมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายในการรวมเกาะไต้หวันให้อยู่ภายใต้การควบคุมของจีนแผ่นดินใหญ่ ทันทีที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อเป็นสมัยที่ 3

 

  • รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธทิ้งตัว (Ballistic Missile) จำนวน 2 ลูกในช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นการยิงขีปนาวุธครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ปลายเดือนก.ย.ปีนี้

         

ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด


 

  • ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบประมาณหนึ่งเดือน โดยเป็นผลมาจากประชาชนเดินทางเพิ่มมากขึ้นในช่วงหยุดยาววันชาติระหว่างวันที่ 1 – 7 ต.ค. ทำให้ทางการจีนออกมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่เพื่อสกัดการแพร่ระบาด ก่อนถึงกำหนดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.นี้ ทั้งนี้ จีนตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 1,138 รายในวันพุธ ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย. โดย 457 รายอาศัยอยู่ในมองโกเลียใน ซึ่งขณะนี้หลายเมืองและเขตต้องตกอยู่ภายใต้การล็อกดาวน์ ขณะที่ นครเซี่ยงไฮ้ตรวจพบผู้ติดเชื้อ 11 รายในวันเดียวกัน ซึ่งสูงสุดในรอบหนึ่งเดือน โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ตรวจพบในกลุ่มคนที่เพิ่งกลับจากการเดินทาง

 

ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท



  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ ที่ระดับ 37.40 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.36 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.25-37.55 บาทต่อดอลลาร์

 

  • สำนักข่าวรอยเตอร์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงิน ในวันที่ 30 ก.ย.-5 ต.ค. ประเมินว่า ค่าเงินบาทของไทยจะร่วงลงจาก 37.22 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน สู่ 37.61 บาทต่อดอลลาร์ในอีก 1 เดือนข้างหน้า และจะอยู่ที่ 37.75 บาทต่อดอลลาร์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า และจะแข็งค่าขึ้นสู่ 35.88 บาทต่อดอลลาร์ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเท่ากับว่าบาทอาจจะแข็งค่าขึ้นราว 3.60% ในอีก 1 ปีข้างหน้า

 

 

ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews, ManagerOnline

 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com