ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันศุกร์ โดยถูกกดดันจากการที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หลังการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง และได้ตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงต่อไป
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -22.65 เหรียญ หรือ -1.36% อยู่ที่ระดับ 1,643.4 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 28.1 ดอลลาร์ หรือ 1.68% ปิดที่ 1,648.9 ดอลลาร์/ออนซ์ และร่วงลง 3.5% ในรอบสัปดาห์นี้
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 84.7 เซนต์ หรือ 4.48% ปิดที่ 18.071 ดอลลาร์/ออนซ์
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 3.18 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 941.13 ตันภาพรวมเดือนตุลาคม ซื้อสุทธิ 1.43 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 34.53 ตัน
- นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์จาก Saxo Bank ระบุว่า สิ่งที่กำลังกดดันตลาดในขณะนี้คือ การรายตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ(US CPI) ที่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งเบื้องต้นเราได้เห็นการเคลื่อนไหวที่สวนทางกันอย่างรุนแรงระหว่างตลาดหุ้นและค่าเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ ในระยะสั้น เราคาดว่าจะเห็นการกลับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์กลับตัวลงเช่นกัน และจะเห็นการฟื้นตัวของราคาทองคำในที่สุด
- นักวิเคราะห์อาวุโสจาก OANDA ระบุว่า การฟื้นตัวของราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวในลักษณะค่อนข้างแปลกหลังจากรายงานเงินเฟ้อสหรัฐ แต่ในท้ายที่สุด ราคาทองคำปรับตัวลงอีกครั้งสอดคล้องกับทิศทางข้อมูล แต่ในที่สุดแล้ว ตลาดทองคำจะใช้เวลาสักพักในการพักฐานที่แนวรับใดแนวรับหนึ่ง
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.74 จุด หรือ 0.66% มาอยู่ที่ระดับ 113.21 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.06 % มาอยู่ที่ระดับ 4.01% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.02 % มาอยู่ที่ระดับ 4.488% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.48% อยู่ในภาวะ inverted yield curve
- เครื่องมือ Fed Watch บ่งชี้ว่า มีโอกาส 97.20% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนพฤศจิกายน และบ่งชี้ว่า มีโอกาสเพียง 2.80% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%
- นักเศรษฐศาสตร์จาก TD Securities ระบุว่า ความน่าจะเป็นที่สูงที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนพฤศจิกายน ช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์
- ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เปิดเผยว่า “ไม่กังวล” เกี่ยวกับการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยถ้อยแถลงดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่าลงอีก หลังร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 32 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างสหรัฐกับญี่ปุ่น
- เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด หากตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนมากเกินไป หลังจากที่เงินเยนอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบ 32 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์
- ธนาคารกลางสิงคโปร์ (เอ็มเอเอส) ดำเนินการคุมเข้มนโยบายการเงิน ปรับนโยบายการเงินผ่านการกำหนดค่ากลาง (Mid-Point) ของกรอบนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า Nominal Effective Exchange Rate (NEER) โดยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงความชัน (Slope) และความกว้าง (Width) ของกรอบอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณที่จะคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไปอีก
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 400 จุดในวันศุกร์ โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากการคาดการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงต่อไป และอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,634.83 จุด ลดลง 403.89 จุด หรือ -1.34%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,583.07 จุด ลดลง 86.84 จุด หรือ -2.37%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,321.39 จุด ลดลง 327.76 จุด หรือ -3.08%
- กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 8.2% ในเดือนกันยายน เมื่อเทียบรายปี โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.5% เมื่อเทียบรายเดือน ในขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 6.6% ในเดือนกันยายน เมื่อเทียบรายปี โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.5% เมื่อเทียบรายปี และดัชนี CPI พื้นฐานปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเทียบรายเดือน ในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง
- มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐดีขึ้นในเดือนตุลาคม แต่การคาดการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้อยังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ ยอดค้าปลีกยังบ่งชี้ด้วยว่า ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น
- ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 59.8 ในเดือตุลาคมจากระดับ 58.6 ในเดือนกันยายน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 59.0 ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 5.1% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า โดยสูงกว่าระดับ 4.7% ที่มีการสำรวจในเดือนก.ย. ส่วนในช่วง 5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 2.9% โดยสูงกว่าระดับ 2.7% ที่มีการสำรวจในเดือนก.ย.
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกทรงตัวในเดือนก.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือน ส.ค.
- นายเดวิด มัลพาส ประธานธนาคารโลกว่า เศรษฐกิจโลกใกล้เข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง, อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น และภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนา
- ด้านนาง Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศกล่าวว่า ความท้าทายเร่งด่วนที่สุดที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของโลกในวงกว้างคืออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและมีความเห็นว่านโยบายทางการเงินควรมีความเข้มงวดขึ้น และนโยบายการคลังควรเป็นการให้ความช่วยเหลืออย่างตรงกลุ่มเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ซึ่งควรนำมาปรับใช้ชั่วคราวเท่าที่จำเป็น
- สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยข้อมูลดัชนี CPI พุ่งขึ้น 2.8% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนก.ย. ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในผลสำรวจของรอยเตอร์ หลังจากเพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนส.ค. ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.0% และชะลอลงจากการขยายตัว 2.3% ในเดือนส.ค.
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักในวันศุกร์ โดยตลาดถูกกดดันจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และความต้องการพลังงานมีแนวโน้มอ่อนแอลง
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 3.5 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 85.61 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 7.6% ในรอบสัปดาห์นี้
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 2.94 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 91.63 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 6.4% ในรอบสัปดาห์นี้
- สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เตือนว่า การตัดสินใจของกลุ่มโอเปกพลัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาที่จะลดการผลิตน้ำมันลงนั้น ได้ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น และอาจส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของโอมาน ระบุว่า การตัดสินใขของโอเปคพลัสนั้นพิจารณาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว พร้อมระบุว่า การตัดสินใจดังกกล่าวเป็นเรื่องที่จำเป็นในการสร้างเสถียรภาพ(ของราคา)ใสตลาดน้ำมัน
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ได้นำเสนอรายงาน ณ การเปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ครั้งที่ 20 โดยมีการกล่าวถึงเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงเน้นย้ำความสำคัญของการศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ทั้งนี้ ยังกล่าวเสริมว่า จีนมุ่งมั่นที่จะรวมประเทศกับไต้หวัน และการแก้ปัญหาไต้หวันเป็นเรื่องของชาวจีน อย่างไรก็ตามจะไม่มีทางปฏิเสธสิทธิที่จะใช้กำลังเพื่อนำไต้หวันกลับมา
- ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียเปิดเผยว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำการโจมตีครั้งใหญ่ครั้งใหม่ในยูเครน พร้อมทั้งระบุว่า รัสเซียไม่ได้จ้องที่จะทำลายยูเครน เนื่องจากมีการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ส่วนใหญ่แล้ว
- รัฐบาลญี่ปุ่นและกองทัพเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ลงสู่ทะเลญี่ปุ่นในช่วงเช้าวันที่ 14 ต.ค. โดยเป็นการทดสอบยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดซึ่งได้เพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น
- นายเจเรมี ฮันท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ หลังจากที่นายควาซี กวาร์เต็ง ลาออกจากตำแหน่ง
ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด
- คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในประเทศเพิ่มอีก 174 ราย ในวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดผู้ป่วยเสียชีวิตรวมอยู่ที่ 5,226 ราย
- กระทรวงสาธารณสุข (MOH) ของสิงคโปร์เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันเป็นผลมาจากไวรัสสายพันธุ์ย่อย XBB และคาดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะสูงถึง 15,000 รายต่อวันในช่วงประมาณกลางเดือนพ.ย.นี้
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ที่ระดับ 38.28 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 38.10 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันที่ 12 ตุลาคม) มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 37.80-38.50 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 38.20-38.40 บาทต่อดอลลาร์
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมสถานการณ์การท่องเที่ยวของตลาดระยะไกล(ตลาดยุโรป-อเมริกา) ปี 2565–2566 ตั้งเป้าหมายฟื้นรายได้การท่องเที่ยวจากตลาดยุโรป-อเมริกา ในสัดส่วน 30-35% ของภาพรวมเทียบกับปี 2562 ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท ฝยขณะที่อุปสรรคของตลาดระยะไกลคือ สายการบินที่ยังกลับมาบินไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะหากเทียบกับปี 2562 ทำให้ราคาค่าโดยสารแพงขึ้น แม้นักท่องเที่ยวจะยอมจ่ายก็ยังหาที่นั่งสำหรับการเดินทางไม่ได้ รวมถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ประเทศกาตาร์
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย ได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศกับ นาย David Malpass ประธานธนาคารโลก และนาง Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เกี่ยวกับการช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการพัฒนาในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ นาย David Malpass ประธานธนาคารโลก กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อเนื่องทั้งในด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และการศึกษา นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการอ่อนค่าของสกุลเงินส่งผลในเชิงลบต่อการปรับใช้นโยบายการคลัง ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือประเทศสมาชิกธนาคารโลกได้จัดตั้งกองทุนตัวกลางทางการเงิน (Financial Intermediary Fund: FIF) สำหรับรับมือกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews, Kaohoon