ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 6.57 เหรียญ หรือ 0.4% อยู่ที่ระดับ 1,649.97 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 15.1 ดอลลาร์ หรือ 0.92% ปิดที่ 1,664 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 64.8 เซนต์ หรือ 3.59% ปิดที่ 18.719 ดอลลาร์/ออนซ์
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 2.03 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 939.1 ตันภาพรวมเดือนตุลาคม ขายสุทธิ 0.6 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 36.56 ตัน
- นักวิเคราะห์จาก Bank of China International ชี้ว่า ราคาทองคำปรับตัวขึ้นจากการที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนแอ เนื่องจากค่าเงินปอนด์ที่ฟื้นตัวขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของตลาดว่าจะมีการกลับลำนโยบายปรับลดภาษี มากขึ้น ในขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนพันธบีตรก็ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม จากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูง หนุนเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมต้นเดือนพฤศจิกายนและคาดปรับดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่องในเดือนธันวาคม เป็นปัจจัยมหภาคที่ยังคงกดดันราคาทองคำ
- นักวิเคราะห์จาก City Index ระบุว่า ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางราคาทองคำในขณะนี้ และหากปัจจัยทั้งสองปรับสูงขึ้นต่อไปอีก ราคาทองคำก็อาจปรับตัวลงมาทดสอบระดับ 1,600 เหรียญได้
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -1.15 จุด หรือ -1.02% มาอยู่ที่ระดับ 112.07 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.01 % มาอยู่ที่ระดับ 4.015% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.04 % มาอยู่ที่ระดับ 4.45% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.44% อยู่ในภาวะ inverted yield curve
- ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแคนซัส ซิตี้ นางเอสเธอร์ จอร์จ กล่าวว่า เฟดควรจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างช้าๆและค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้นเพื่อให้มีเวลาสำหรับการดำเนินนโยบายต่างๆเพื่อให้ค่อยๆเข้าสู่เศรษฐกิจ และลดความผันผวนในตลาดให้เหลือน้อยที่สุด
- ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาซานฟรานซิสโก นางแมรี่ ดาลี่ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่กรอบ 4.5-5% ภายในปีหน้า และจะคงไว้ที่ระดับดังกล่าวต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อทำให้อุปสงค์ลดลง และลดอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินไป
- ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ นายเจมส์ บูลลาร์ด กล่าวว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของเฟดมีส่วนสนับสนุนการแข็งค่าของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ แต่นั่นก็อาจจะลดลงทันทีที่เฟดไปถึงจุดที่จะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย
- รองผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยว่า เป็นเรื่องยากที่จะควบคุมเงินเฟ้อในสหรัฐ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ควรเดินหน้า “ตามแผนการ” ด้วยคุมเข้มนโยบายการเงิน มิฉะนั้นจะสูญเสียความน่าเชื่อถือ
- แหล่งข่าวภาคธนาคาร 6 รายเปิดเผยว่า ธนาคารขนาดใหญ่ของรัฐบาลจีนถูกพบว่าทำการสว๊อปหยวน/ดอลลาร์ในตลาดฟอร์เวิร์ด และนำดอลลาร์ไปขายในตลาดสปอตในช่วงเช้าเมื่อวานนี้ โดยการขายดังกล่าวดูเหมือนว่าจะมีจุดประสงค์เพื่อทำให้หยวนมีเสถียรภาพ โดยการสว๊อปครั้งนี้ช่วยจัดซื้อดอลลาร์ รวมทั้งคงราคาหยวนในตลาดฟอร์เวิร์ด
- นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยวันนี้ว่า เขาจะแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมที่สุดเพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คนใหม่ในเดือนเม.ย.ปีหน้า ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าการตัดสินใจเลือกผู้ที่จะเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวอาจรอจนกว่านายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการ BOJ คนปัจจุบันจะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 8 เดือนเม.ย.ปีหน้า
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดในวันจันทร์ หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองบวกเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจยกเลิกมาตรการปรับลดภาษีที่มีการประกาศก่อนหน้านี้
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,185.82 จุด พุ่งขึ้น 550.99 จุด หรือ +1.86%,
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,677.95 จุด เพิ่มขึ้น 94.88 จุด หรือ +2.65% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,675.80 จุด พุ่งขึ้น 354.41 จุด หรือ +3.43%
- นายเบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครตจากรัฐเวอร์มอนต์ แสดงความเห็นว่า นโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ช่วยบรรเทาวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน และยังเป็นการซ้ำเติมชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน
- รองผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า "เศรษฐกิจของยูโรโซนจะอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ เราคาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.5% ในปีหน้า"
- ธนาคารขนาดใหญ่ที่สุด 6 แห่งของรัฐบาลจีนประกาศว่าจะยกระดับการสนับสนุนเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ตามข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยมุ่งเน้นไปยังคุณภาพเป็นหลัก โดยธนาคารอินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเมื่อเทียบตามสินทรัพย์ เปิดเผยว่าธนาคารจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในกลุ่มธนาคารรายใหญ่ และจะเพิ่มการสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจที่แท้จริง
- รองประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ระบุว่า เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3/2565 และการจ้างงานโดยรวมยังคงมีเสถียรภาพ แต่ยังคงเผชิญอุปสรรคและความยากลำบากหลายประการ
- รัฐมนตรีคลังออสเตรเลียเตือนว่า ออสเตรเลียกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั่วโลก และมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะขาลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของออสเตรเลียด้วย โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียง 1% ในปี 2566 จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 2.5% ขณะเดียวกันคาดว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะขยายตัว 0.25% ในปีหน้า ลดลงอย่างมากจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 2% ส่วนเศรษฐกิจยุโรปคาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.5% ซึ่งย่ำแย่กว่าตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 2.5%
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 15 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 85.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1 เซนต์ หรือ 0.01% ปิดที่ 91.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
- กลุ่มประเทศโอเปคพลัส กล่าวขู่ว่า จะปรับลดกำลังการผลิตมากกว่าที่ตกลงไว้ในเดือนก่อนหน้า หลังจากสหรัฐกล่าวหาซาอุดิอารเบียว่า เป็นการให้การสนับสนุนรัสเซีย โดยระบุว่า การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดังกล่าวจะช่วยทำให้รัสเซียมีรายได้จากต่างประเทศมากขึ้น
- นักวิเคราะห์จาก ANZ ระบุว่า ปริมาณที่มีจำกัดมากขึ้นของน้ำมันคงคลังและผลิตภัณฑ์น้ำมันต่างๆ ตลอดจน ความเสี่ยงด้านอุปทานของน้ำมันที่ยังคงมีอยู่ ส่งผลให้ราคาน้ำมันยังคงเคลื่อนไหวผันผวนต่อไป
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบประธานาธิบดียูเครนเปิดเผยว่า รัสเซียใช้โดรนกามิกาเซ่ถล่มกรุงเคียฟในช่วงเช้าเมื่อวานนี้ ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนประชาชนถูกระเบิดทำลายและเกิดเพลิงไหม้ ทั้งนี้ การโจมตีกรุงเคียฟดังกล่าว ถือเป็นการโจมตีรอบสองในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่รัสเซียเพิ่งยิงขีปนาวุธถล่มยูเครนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เปิดปฏิบัติการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบในเดือนก.พ.
- รัฐบาลอิหร่านได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปยังรัสเซียเพื่อสรุปเงื่อนไขสำหรับการจัดส่งอาวุธเพิ่มเติม รวมถึงขีปนาวุธแบบพื้นสู่พื้น (surface-to-surface missiles ) สองประเภท
- สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า บริษัทแอปเปิลได้ตัดสินใจระงับการใช้ชิปความจำจากบริษัทหยางจื่อ เมมโมรี เทคโนโลยีส์ โค (YMTC) ของจีน ในผลิตภัณฑ์ของบริษัท หลังสหรัฐออกมาตรการควบคุมการส่งออกภาคเทคโนโลยีจีนรอบล่าสุด ท่ามกลางสัญญาณว่ามาตรการดังกล่าวกำลังก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อห่วงโซ่อุปทาน
ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด
- เทศบาลเมืองเจิ้งโจว ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตไอโฟน (iPhone) ของบริษัทแอปเปิล ได้สั่งล็อกดาวน์หนึ่งในเขตที่มีประชาชนอาศัยอยู่มากที่สุดเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 โดยมาตรการเข้มงวดต่าง ๆ ที่ทยอยประกาศใช้ทั่วจีนได้ตอกย้ำถึงผลกระทบที่ทำให้กิจการของบริษัทเอกชนต้องหยุดชะงัก อันเนื่องมาจากเมืองต่าง ๆ ของจีนต้องดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-covid Policy) ตามแนวทางของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ ที่ระดับ 38.05 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 38.23 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.90-38.15 บาทต่อดอลลาร์
- ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบัน ยังไม่ใช่ระดับที่สมดุล หรือ neutral rate ขณะที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับ terminal rate จะเกิดขึ้นได้เมื่อเศรษฐกิจปรับตัวถึงระดับศักยภาพแล้ว ซึ่งปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังอยู่ห่างจากระดับศักยภาพอยู่ประมาณ 1 ปีครึ่ง
- ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกว่า ในการประชุมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง และมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น โดยมี 3 ปัจจัยที่ต้องจับตา คือ 1. เงินเฟ้อของทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง โดยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 8.8% 2. เศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่จะชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงปลายปีนี้-ปีหน้า โดยคาดว่าจะมีจำนวนประเทศ 1 ใน 3 ของโลกที่เศรษฐกิจอาจเติบโตต่ำกว่า 2% และ 3. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และจีน-สหรัฐ ที่สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลก
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 65 ใหม่อีกครั้งในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ โดยเบื้องต้นมองว่าภาคการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโต โดยปีนี้มีโอกาสที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 8-10 ล้านคน ซึ่งจะช่วยพยุงให้การขยายตัวของจีดีพีไทยปี 65 ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ 3-3.5%
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews