ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ในวันพุธ โดยได้แรงหนุนจากอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 11.55 เหรียญ หรือ 0.7% อยู่ที่ระดับ 1,664.61 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 11.2 เหรียญ หรือ 0.68% ปิดที่ 1,669.2 เหรียญ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 2565
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 13.7 เซนต์ หรือ 0.71% ปิดที่ 19.486 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 928.39 ตันภาพรวมเดือนตุลาคม ขายสุทธิ 11.31 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 47.27 ตัน
- นักยุทธศาสตร์การลงทุนตลาดของ RJO Futures กล่าวว่า "การที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และสกุลเงินอื่น ๆ ก็แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และปัจจัยนี้ช่วยหนุนราคาทองให้ดีดขึ้น" และเขากล่าวเสริมว่า ถ้าหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าระดับที่คาดไว้ที่ 0.75% นั่นก็จะแสดงให้เห็นว่า เฟดชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปัจจัยนี้จะส่งผลบวกต่อราคาทอง "อย่างไรก็ดี เทรดเดอร์ทองยังคงรอดูสัญญาณที่ชัดเจนมากกว่านี้"
- นักวิเคราะห์จาก IG Market ชี้ว่า ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อในระยะสั้น หากค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลง และระบุว่า สถานะทองคำยังมีแนวโน้มทิศทางขาลง แต่ความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำสามารถกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้งได้นั้นขึ้นอยู่กับว่า เฟดจะส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลงหรือไม่
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -1.34 จุด หรือ -1.21% มาอยู่ที่ระดับ 109.62 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง -0.1 % มาอยู่ที่ระดับ 4.007% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.07 % มาอยู่ที่ระดับ 4.41% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.4% อยู่ในภาวะ inverted yield curve
- นายโรเจอร์ เฟอร์กูสัน อดีตรองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า เฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในปีนี้ แต่ในอัตราที่ชะลอลง และเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
โดยคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ และจะปรับขึ้น 0.50% ในเดือนธ.ค. และอาจปรับขึ้นอีก 0.25% ในช่วงต้นปีหน้า
- ประธานคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐ เรียกร้องให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระมัดระวังเรื่องการคุมเข้มนโยบายการเงิน เพราะวิตกกังวลว่า ชาวอเมริกันหลายล้านคนที่เผชิญปัญหาเงินเฟ้อสูงอยู่แล้วอาจต้องตกงานร่วมด้วย
- มีการประเมินกันว่า รัฐบาลญี่ปุ่นอาจใช้เงินราว 9.00 แสนล้านเยน (6 พันล้านดอลลาร์) ในการเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราในวันจันทร์ที่ 24 ต.ค. ซึ่งจะส่งผลให้การแทรกแซงตลาดเพื่อซื้อเยนนับตั้งแต่เดือนก.ย.เป็นต้นมาใช้เงินรวมกันราว 9.2 ล้านล้านเยน ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศราว 1.238 ล้านล้านดอลลาร์ สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน อย่างไรก็ดี มีทุนสำรองเพียงบางส่วนเท่านั้นที่อยู่ในสถานะที่ญี่ปุ่นพร้อมจะนำมาใช้ได้
- สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน แหล่งข่าว 2 รายในจีนเปิดเผยว่า ธนาคารชั้นนำของรัฐบาลจีนขายดอลลาร์ทั้งในตลาดในประเทศ (On-onshore) และตลาดนอกประเทศจีน(Off-shore) ในช่วงท้ายตลาดของวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อพยุงค่าเงินหยวน
- นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในวันพฤหัสบดี และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีแนวโน้มที่จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำมากต่อไปในวันศุกร์
- หัวหน้าฝ่ายแผนยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินของธนาคารเนชันแนล ออสเตรเลีย แบงก์ (NAB) กล่าวว่า "ผมยังคงไม่แน่ใจว่า ดอลลาร์สหรัฐได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้วหรือไม่ แต่มีหลักฐานมากยิ่งขึ้นที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง" และเขากล่าวเสริมว่า ถ้าหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% และเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่จุดสูงสุดของวัฏจักรที่ระดับต่ำกว่า 5% ในช่วงต้นปีหน้า นั่นก็อาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ช่วงขาขึ้นของดอลลาร์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว "แต่ผมต้องการจะพิจารณาสัญญาณต่าง ๆ ที่เฟดจะส่งออกมาในสัปดาห์หน้า ก่อนที่ผมจะได้ข้อสรุปแบบนั้น"
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเพียงเล็กน้อยในวันพุธ ขณะที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลงกว่า 2% หลังจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่างไมโครซอฟท์และอัลฟาเบทเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ของสหรัฐในวันนี้
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,839.11 จุด เพิ่มขึ้น 2.37 จุด หรือ +0.01%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,830.60 จุด ลดลง 28.51 จุด หรือ -0.74% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,970.99 จุด ร่วงลง 228.12 จุด หรือ -2.04%
- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทในยูโรโซนของธนาคารพาณิชย์นั้นขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.9% ในเดือนกันยายน สูงกว่าระดับ 8.8% ของเดือนสิงหาคม โดยถือเป็นการปล่อยเงินกู้มากที่สุดในรอบกว่าหนึ่งทศวรรษ แม้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อเมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาส 3/2565 เพิ่มขึ้น 7.3% แตะระดับสูงสุดในรอบ 32 ปี และสูงกว่าคาดการณ์ที่ 7%
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ โดยปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์, การลดลงของสต็อกน้ำมันเบนซินสหรัฐ และการส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.59 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 87.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.17 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 95.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
- นักวิเคราะห์ของบริษัท PRICE Futures Group กรุ๊ปกล่าวว่า ถ้อยแถลงของรัฐมนตรีซาอุดิอาระเบียและผู้อำนวยการ IEA ช่วยย้ำเตือนว่า วิกฤติพลังงานจะยังคงดำเนินต่อไปอีกนาน และ "ยังคงมีความกังวลกันว่า อุปทานน้ำมันในตลาดอยู่ในระดับต่ำเกินไป"
- ผู้จัดการบริษัท SPI Asset Management ระบุว่า การที่โอเปคพลัสปรับลดกำลังการผลิตในเดือนพฤศจิกายน และสหภาพยุโรปจะบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซียในเดือนธันวาคม ล้วนส่งผลบวกต่อราคาน้ำมัน
- ผู้อำนวยการบริหารของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกมาเตือนว่า สหรัฐไม่ใช่ประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากราคาพลังงานที่ระดับสูง แต่เป็นกลุ่มประเทศที่นำเข้าน้ำมันในแอฟริกา เอเชีย และลาตินอเมริกา เพราะราคานำเข้าสูงขึ้นและสกุลเงินอ่อนค่าลง ทั้งนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นจะไปซ้ำเติมปัญหาที่เกิดจากเงินเฟ้อและหนี้ที่สูงขึ้น รวมถึงสภาวะการเงินโลกที่ตึงตัว ความคืบหน้าที่ไม่ต่อเนื่องในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และความเปราะบางและขัดแย้งในบางประเทศ
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- กองกำลังรัสเซียส่งกำลังทหารเข้าในสมรภูมิในภูมิภาคเคอร์ซอนซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางตอนใต้ของยูเครน และเป็นจุดที่มีการสู้รับอย่างหนักหน่วง ทั้งนี้ รัสเซียอ้างว่าเป็นการป้องกันการถูกควบคุมจากกองกำลังของยูเครน
- สหรัฐคาดการณ์รัสเซียจะทดสอบจรวดมิสไซล์ในช่วงโปรแกรมฝึกทหารเกี่ยวกับการใช้นิวเคลียร์ชื่อว่า กรอม (Grom) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี พร้อมทั้งชี้ว่าที่ผ่านมารัสเซียได้เคยทดสอบจรวดมิสไซล์ข้ามทวีปมาแล้ว
ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด
- จีนประกาศล็อกดาวน์เขตฮั่นหยางเมืองอู่ฮั่น ที่เป็นเมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย หลังจากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนหลายราย ทั้งนี้ เทศบาลเมืองอู่ฮั่นสั่งให้ประชาชนในเขตฮั่นหยางประมาณ 900,000 คนอยู่แต่ในบ้านพักตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันอาทิตย์ (26-30 ต.ค.) และสั่งปิดธุรกิจทั้งหมดที่ไม่จำเป็น ยกเว้นซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อไปได้
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ ที่ระดับ 37.65 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.75 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.50-37.75 บาทต่อดอลลาร์
- ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนสมัยที่ 3 ของ นายสีจิ้นผิง จะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจไทย เพราะนโยบายจะถูกดำเนินการต่อเนื่องทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวซึ่งการที่จีนสามารถกลับมาฟื้นตัวจากปัญหาต่างๆ ภายในประเทศได้ จะทำให้ไทยได้รับอานิสงค์นี้ในปี 2566 และช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 4%
- ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประเมินภาคการท่องเที่ยวไทยว่า ภายหลังการเมืองภายในของจีนสงบนิ่งจะทำให้ชาวจีนกลับมาท่องเที่ยวไทยได้เต็มที่ โดยประเมินว่าในปี 2566 หากจีนเปิดการเข้าออกประเทศเป็นปกติ จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคนซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจากชาติอื่นที่เข้ามามาก เช่น อินเดีย
- รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า ในเดือนก.ย.65 มีมูลค่า 24,919 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 4.3.-4.4% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 25,772 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้เดือนก.ย. ไทยขาดดุลการค้า 853.2 ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews