• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565

    1 พฤศจิกายน 2565 | Gold News

ข่าวเกี่ยวกับทองคำ

 

  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (31 ต.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 1-2 พ.ย.นี้

 

  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -11.5 เหรียญ หรือ -0.7% อยู่ที่ระดับ 1,632.4 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 4.1 ดอลลาร์ หรือ 0.25% ปิดที่ 1,640.7 ดอลลาร์/ออนซ์ และตลอดเดือนต.ค. สัญญาทองคำปรับตัวลงทั้งสิ้น 1.9% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 7
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.8 เซนต์ หรือ 0.15% ปิดที่ 19.119 ดอลลาร์/ออนซ์
  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 2.02 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 920.57 ตันภาพรวมเดือนตุลาคม ขายสุทธิ 19.13 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 55.09 ตัน

 

  • นักกลยุทธ์จาก IG Market ระบุว่า บรรดาผู้มีส่วนรวมทั้งหลายในตลาด กำลังมองหาข้อมูลที่อาจบ่งชี้การเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินเป็นทิศทางผ่อนคลายขึ้นของเฟดหลังจากการประชุมรอบเดือนพฤศจิกายน พร้อมระบุว่า ราคาทองคำอาจกลับมาฟื้นตัวได้หากเฟดระบุ ความกังวลที่มากขึ้นของการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ หากเฟดเน้นย้ำมากขึ้นถึงการดำเนินนโยบายการเงินโดยพิจารณาข้อมูลเป็นหลัก (Data Dependence)

 

  • นักวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่า ราคาทองคำปรับร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ที่บริเวณ 1,635 เหรียญ โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันดูเหมือนว่าจะมีจำกัด เนื่องจากมีแนวโน้มสูงที่เฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยสูงในการประชุมนโยบายการเงินของ FOMC ในสัปดาห์นี้

 

ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง

 

  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.74 จุด หรือ 0.67% มาอยู่ที่ระดับ 111.55 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.04 % มาอยู่ที่ระดับ 4.061% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.05 % มาอยู่ที่ระดับ 4.491% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.43% อยู่ในภาวะ inverted yield curve

 

  • หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของบริษัทเจพีมอร์แกน แอสเซท แมเนจเมนท์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เฟดไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดจุดยืนแบบแข็งกร้าวลงในช่วงนี้ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐชะลอตัวลง โดยเขากล่าวเสริมว่า เรามองว่ามีโอกาสสูงกว่า 50% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า

 

  • เครื่องมือ FedWatch ของบริษัท CME บ่งชี้ว่า นักลงทุนในตลาดการเงินคาดว่า มีโอกาส 89.20% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. และมีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์ด้วยว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกไม่เกิน 0.50% ในการประชุม 2 ครั้งแรกของปีหน้า

 

  • นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป กล่าวว่า เฟดอาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นสูงถึง 5% ภายในเดือนมี.ค.ปีหน้า โดยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในสัปดาห์นี้, 0.50% ในเดือนธ.ค. และ 0.25% ในเดือนก.พ.และในเดือนมี.ค.ปีหน้า ด้วยเหตุผลที่ว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงจนน่าวิตก, ความจำเป็นที่ต้องชะลอเศรษฐกิจ ขณะที่มาตรการคุมเข้มทางการคลังจะสิ้นสุดลง และรายได้ที่ปรับตามราคาเพิ่มขึ้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการผ่อนคลายภาวะทางการเงินก่อนเวลาอันสมควร

 

  • หนึ่งในสมาชิกสภาบริหารธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวว่า อีซีบีอาจปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.75% อีกครั้งในการประชุมนโยบายครั้งต่อไปในเดือนธ.ค. หลังจากที่ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 1.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2009

 

  • นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Commonwealth Bank of Australia ระบุว่า ตลาดยังคงคาดหวังว่าเฟดจะเปลี่ยนทิศทางนโยบายผ่อนคลายขึ้น แต่เราคิดว่า ยังคงเร็วเกินไป เมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงอยู่

 

  • นักวิเคราะห์จากเมย์แบงก์กล่าวว่า "ความเชื่อมั่นต่อค่าเงินหยวนได้รับผลกระทบจากข่าวล็อคดาวน์ และข้อมูล PMI ที่ย่ำแย่ลงในเดือนต.ค." โดยข้อมูลกิจกรรมภาคการผลิตลดลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนต.ค. เนื่องจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวทั่วโลก และมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างเข้มงวด ซึ่งกระทบการผลิต, การเดินทาง, การเดินเรือในจีน

 

ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ

 

  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (31 ต.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมครั้งนี้

 

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,732.95 จุด ลดลง 128.85 จุด หรือ -0.39%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,871.98 จุด ลดลง 29.08 จุด หรือ -0.75% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,988.15 จุด ลดลง 114.31 จุด หรือ -1.03%

 

  • สำนักสถิติสหภาพยุโรปเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อเบื้องต้น (Preliminary inflation) ประจำเดือนตุลาคม ปรับตัวสูงขึ้นถึง 10.7% สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งยูโรโซน โดยที่ประเทศอิตาลี รายงานตัวเลขเงินเฟ้อสูงถึง 12% และเยอรมันรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสูง 11.6% และฝรั่งเศาสรายงานเงินเฟ้อที่ระดับ 7.1%

 

  • หัวหน้าฝ่ายสัญญาธัญพืชของบริษัทอีดีแอนด์เอฟ แมน แคปิตัล มาร์เก็ต แสดงความกังวลว่า การที่รัสเซียยกเลิกข้อตกลงการส่งออกธัญพืช มีความเสี่ยงที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง รวมถึงทำให้วิกฤตอาหารโลกเลวร้ายลงไปอีก จากการที่ราคาธัญพืชอาจปรับพุ่งขึ้น

 

  • ญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมร่วงลงในเดือนกันยายนเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ขณะที่ผู้ผลิตได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งขึ้น และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และอาจจะลดลงอีกครั้งในเดือนหน้า ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 1.6% ในเดือนกันยายนจากเดือนสิงหาคมซึ่งปรับลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะลดลง 1.0% และนั่นเป็นการลดลงเมื่อเทียบรายเดือนเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนสิงหาคม

 

  • นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากสถาบันวิจัยไดอิชิกล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นว่า "ขณะที่การอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลจะยังคงฟื้นตัวต่อไปจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายลง และการเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง แต่การผลิตอาจหยุดชะงัก เพราะเศรษฐกิจต่างประเทศที่เลวร้ายลงกระทบการส่งออกของญี่ปุ่น

 

  • รัฐบาลฮ่องกงเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2565 หดตัว 4.5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งปรับตัวลดลงเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากตัวเลขการค้ายังคงอ่อนแอ โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่ำกว่าที่เอชเอสบีซี, มอร์แกน สแตนลีย์ และนัททิซิส คาดการณ์ไว้

 

ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน

 

  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (31 ต.ค.) หลังจากมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่โรคโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาด นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีน รวมทั้งความกังวลที่ว่ามาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดของจีนจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน

 

  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.37 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 86.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 94 เซนต์ หรือ 0.98% ปิดที่ 94.83 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

  • ข้อมูลของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐระบุว่า การผลิตน้ำมันในเดือนสิงหาคมของสหรัฐพุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ 12 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่โรคโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาด

 

  • ผู้จัดการบริษัท SPI Asset Management ระบุว่า รายงานข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของจีนที่ปรับตัวลง ส่งผลตอกย้ำภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่หลังการประชุมใหญ่สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน กดดันราคาน้ำมันต่อ ทั้งนี้ เขาระบุว่า ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดการณ์ว่า  ดัชนี PMI ที่ออกมาแย่ลงจะเป็นผลต่อเนื่องจากการใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน 

 

  • สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ซาอุดีอาระเบีย ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก อาจปรับลดราคาน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการ (OSP) สำหรับราคาน้ำมันดิบประเภท Arab Light ประมาณ 30-40 เซนต์/บาร์เรลในเดือนธ.ค. หลังการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในจีนลดลงกว่าที่คาด ท่ามกลางมาตรการคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดของจีน ส่งผลทำให้อุปสงค์ในภูมิภาคลดลง

 

ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ

 

  • องค์การสหประชาชาติ (UN) รวมถึง ตุรกีและยูเครนเดินหน้าปฏิบัติตามข้อตกลงส่งออกธัญพืชในทะเลดำ โดยมีแผนขนส่งธัญพืชด้วยเรือ 16 ลำ แม้ว่ารัสเซียระงับการเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวในวันเสาร์ที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา

 

  • เจ้าหน้าที่ยูเครนเปิดเผยว่า รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธจำนวนมากถล่มทั่วยูเครน ซึ่งทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเมืองคาร์คิฟทางตะวันออกเฉียงเหนือได้รับความเสียหายจากการโจมตี นอกจากนี้ มีรายงานว่าเกิดระเบิดขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้งในกรุงเคียฟ ส่งผลให้ประชาชนชาวยูเครนในพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ในขณะนี้

         

ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด

 

  • จีนรายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนรายใหม่ 2,675 คนในวันอาทิตย์ที่ 30 ต.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้น 802 คนจากหนึ่งวันก่อนหน้า โดยถือเป็นการพุ่งขึ้นทั่วประเทศครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค. โดยรา่ยงานโควิด-19 แพร่ระบาดรวดเร็วยิ่งขึ้นในพื้นที่ 2 ใน 3 ของ 31 มณฑลในประเทศจีน ซึ่งรวมถึงพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากที่สุด โดยยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วประเทศเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 1,400 รายเมื่อช่วง 5 วันก่อนหน้า

 

ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท

 

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงภาวะเศรษฐกิจเดือน ก.ย.65 เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัว โดยภาคบริการฟื้นตัวต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบกับมูลค่าการส่งออกสินค้าปรับเพิ่มขึ้นหลังจากที่ลดลงในช่วงก่อนหน้า ขณะที่อุปสงค์ในประเทศค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน

 

  • สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) เปิดเผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI) เดือนกันยายน ขยายตัว 14.52% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 14.92% ในสิงหาคม ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลล์รอยเตอร์คาด เพิ่มขึ้น 6.4% จากปีก่อน นอกจากนี้คาดการณ์ดัชนี MPI ในเดือนตุลาคมจะยังขยายตัวได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจในประเทศที่มีทิศทางดีขึ้น จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ ขณะที่การส่งออกยังน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง

 

  • ธนาคารกรุงเทพ ประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยปี 66 จะขยายตัวได้ 2-3% จากปี 65 ที่ 3-4% โดยเฉพาะได้ปัจจัยสนับสนุนจากนักท่องเที่ยวจีนที่จะกลับมาท่องเที่ยวในไทยปีหน้าเป็นความหวัง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมายังภาคการเกษตรกรที่มีประชากรอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ถึง 20 ล้านคน ภาคการท่องเที่ยว 10 ล้านคน และอุตสาหกรรมส่งออก 3-4 ล้านคน แม้การส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวแต่คงไม่ถึงกับติดลบ

 

ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews


Tags : ข่าวทอง, ข่าวทองคำ, ทองคำ, ราคาทองคำ

 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com