• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565

    8 พฤศจิกายน 2565 | Gold News

 ข่าวเกี่ยวกับทองคำ



  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ โดยได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

 

  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -5.1 เหรียญ หรือ -0.3% อยู่ที่ระดับ 1,675.49 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 3.9 เหรียญ หรือ 0.23% ปิดที่ 1,680.5 เหรียญ
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 13.5 เซนต์ หรือ 0.65% ปิดที่ 20.919 เหรียญ
  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 1.48 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 905.48 ตันภาพรวมเดือนพฤศจิกายน ขายสุทธิ 15.09 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 70.18 ตัน

 

  • นักวิเคราะห์ของบริษัท OANDA กล่าวว่า การคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างล่าช้า และส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ในเวลาที่แตกต่างกันไป และปัจจัยดังกล่าวก็ส่งผลให้เทรดเดอร์คาดการณ์ว่า เฟดจะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเฟดจะตัดสินใจในภายหลังว่าจะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด

 

  • นักวิเคราะห์จาก City Index ระบุว่า รายงานข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาทองคำหรือกดดันราคาทองคำ ในขณะที่ตลาดคาดหวังการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% แต่หากรายงานข้อมูลเงินเฟ้อยังคงร้อนแรง จะมีความเป็นไปมากขึ้นที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าและทำให้ราคาทองคำปรับร่วงลง

 

ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง



  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -0.73 จุด หรือ -0.66% มาอยู่ที่ระดับ 110.06 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.06 % มาอยู่ที่ระดับ 4.216% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.04 % มาอยู่ที่ระดับ 4.724% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.51% อยู่ในภาวะ inverted yield curve

 

  • นักวเศรษฐศาสตร์จาก Westpac คาดการณ์ดัชนีดอลลาร์จะปรับตัวลงสู่ระดับ 103 จุดภายในสิ้นปี 2023 และ 96 จุดภายในสิ้นปี 2024 โดยระบุว่า ความคาดหวังและความเสี่ยงเกี่ยวกับเงินเฟ้อกำหนดกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์ โดยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ตลาดแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่ตามมาจากการใช้นโยบายการเงินเข้มงวดของเฟดและนำไปสู่ความคาดหวังมากขึ้นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายกำลังจะถึงจุดสูงสุด ข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลายเป็นประเด็นหลักที่ตลาดพิจารณา และเมื่อดูจากข้อมูล แม้ว่า ขณะนี้ เศรษฐกิจสหรัฐนะยังคงแข็งแกร่งและเงินเ     ฟ้อยังคงสูง ทำให้ตลาดยังคงกังวที่รับความเสี่ยง และเฟดยังคงท่าทีใช้นโยบายการเงินเข้มงวด แต่เราคาดว่าภาพในปี 2023 ภาพจะเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

  • สกุลเงินที่เป็นประเทศคู่ค้าของจีนอ่อนค่าลงในช่วงเช้าเมื่อวานนี้ หลังจากที่จีนยืนยันว่า จีนจะยังคงยึดมั่นในนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Covid Zero Policy) ซึ่งสร้างความผิดหวังให้นักลงทุนที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจีนจะผ่อนคลายนโยบายดังกล่าวและเริ่มเปิดประเทศทั้งนี้ สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงกว่า 1% ขณะที่ดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 1.4% เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขาย ขณะที่เงินหยวนในตลาดต่างประเทศปรับตัวลง 0.8% ส่วนดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้นักลงทุนที่ถือสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์และเงินบาทของไทยอาจเผชิญกับการขาดทุนหากเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์ 

 

  • นายฟรังซัวส์ วิลเลอรอย เดอ กาลฮาว ผู้ว่าการธนาคารกลางฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกจนกว่าจะแน่ชัดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานแตะระดับสูงสุดแล้ว แต่อาจชะลอการปรับเพิ่มหากอัตราดอกเบี้ยแตะระดับที่เริ่มจำกัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ในเวลาเพียง 3 เดือนที่ผ่านมา ECB ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยรวมกันไปแล้วถึง 2% จนแตะระดับ 1.5% นับเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยตลาดคาดว่าดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ประมาณ 3% ในปีหน้า ซึ่งบ่งชี้ว่า ECB จะยังคงเดินหน้าเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัวรวดเร็วเป็นวงกว้าง

 

ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ



  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันนี้ ซึ่งจะชี้ชะตาทิศทางการเมืองสหรัฐในช่วง 2 ปีข้างหน้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567

 

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,827.00 จุด เพิ่มขึ้น 423.78 จุด หรือ +1.31%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,806.80 จุด เพิ่มขึ้น 36.25 จุด หรือ +0.96% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,564.52 จุด เพิ่มขึ้น 89.26 จุด หรือ +0.85%

 

  • จีนรายงาน ยอดนำเข้าและยอดส่งออกของจีนหดตัวลงในเดือนตุลาคมซึ่งถือเป็นการหดตัวพร้อมกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 เป็นต้นมา 
    • โดยยอดส่งออกหดตัวลง 0.3% ในเดือนตุลาคมเมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 หลังจากยอดส่งออกเพิ่งพุ่งขึ้น 5.7% ในเดือนกันยายน ทางด้านนักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดส่งออกอาจปรับขึ้น 4.3% ในเดือนตุลาคม
    • ยอดนำเข้าปรับลดลง 0.7% ในเดือนตุลาคมซึ่งถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หลังจากยอดนำเข้าเพิ่งปรับขึ้น 0.3% ในเดือนกันยายน โดยยอดนำเข้าที่ลดลงในเดือนตุลาคมรวมถึงยอดนำเข้าถั่วเหลืองและยอดนำเข้าถ่านหิน 
    • ทั้งนี้ ยอดเกินดุลการค้าของจีนอยู่ที่ 8.515 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคมโดยปรับขึ้นจาก 8.474 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน แต่อยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 9.595 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับเดือนตุลาคม

 

  • คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ประกาศว่า จีนจะเดินหน้าปรับปรุงสภาพแวดล้อมของนโยบายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาการลงทุนภาคเอกชน อันเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในการพยุงเศรษฐกิจจีน

 

  • นักเศรษฐศาสตร์ของบริษัท Capital Economics ระบุว่า "เราคาดว่า ยอดส่งออกของจีนจะร่วงลงต่อไปในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้า ในขณะที่รูปแบบการบริโภคทั่วโลกที่เคยหนุนให้ความต้องการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคพุ่งสูงในช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาด จะยังคงปรับลดลงต่อไป และเราก็คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลงในปีหน้า โดยเป็นผลจากการหดตัวทางการเงินอย่างรุนแรง และเป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง ซึ่งสร้างความเสียหายต่อรายได้ที่แท้จริง"

 

  • สถาบันเพื่อการพัฒนาเกาหลี (KDI) เปิดเผยว่า มีสัญญาณบ่งชี้เพิ่มขึ้นว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้กำลังชะลอตัว เนื่องจากการส่งออกที่อ่อนแอและภาคการผลิตที่ซบเซาลง อันเป็นผลมาจากปัจจัยเสี่ยงในตลาดต่างประเทศ

 

 

ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน



  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการเปิดประเทศของจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก

 

  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 82 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 91.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 65 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 97.92 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

  • นักวิเคราะห์จาก ANZ ระบุว่า ตลาดน้ำมันเผชิญกับสัญญาณบ่งชี้อุปสงค์์น้ำมันที่อ่อนแอ จากราคาน้ำมันที่สูงและเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วที่ชะลอตัว ทั้งนี้ เราคาดว่า ความอุปสงค์น้ำมันในไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 นี้ จะเติบโตเพียง 0.6 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 นอกจากนี้ คาดว่าจะทรงตัวในระดับดังกล่าวในปีหน้า

 

  • สำนักงานศุลกากร (GAC) ของจีนเปิดเผยว่า ยอดการนำเข้าน้ำมันดิบของจีนในเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.และเป็นการขยายตัวเทียบรายปีเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน เนื่องจากโรงกลั่นใหม่ 2 แห่งเตรียมเปิดดำเนินการ 

 

ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ


 

  • นายหวัง ชีติง เอกอัครราชทูตจีนประจำสวิตเซอร์แลนด์เปิดเผยว่า สวิตเซอร์แลนด์ควรหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการคว่ำบาตรจีนตามสหภาพยุโรป (EU) หากยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับจีนไว้

 

  • นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ได้จัดการประชุมลับกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย โดยคาดหวังว่าจะลดความเสี่ยงที่สงครามยูเครนจะลุกลาม หรือทวีความรุนแรงจนนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์

 

  • นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นต้องเตรียมพร้อมรับมือประเทศอื่น ๆ ที่เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคง

         

ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด


 

  • ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันของจีนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 เดือน เนื่องจากมีการแพร่ระบาดทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประกาศว่าจีนจะควบคุมโรคระบาดอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้ จีนตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวน 5,436 รายในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้น 27% จากวันก่อนหน้า โดยเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่เซี่ยงไฮ้ตกอยู่ภายใต้การล็อกดาวน์นานหลายเดือน

 

  • นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ต้องรออีกหลายเดือนกว่าที่จีนจะเปิดเมืองอย่างแท้จริง เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มคนสูงอายุนั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ และอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ของผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็อยู่ในระดับสูง โดยอิงตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของฮ่องกง

 

 

ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท



  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.27 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.39 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.10-37.40 บาทต่อดอลลาร์

 

  • กระทรวงพาณิชย์เผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(CPI) ในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 5.98% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เดือน เทียบกับที่โพลล์รอยเตอร์คาดไว้เพิ่มขึ้น 6.0% ขณะที่เมื่อเทียบเดือนก่อนหน้า CPI ในตุลาคมเพิ่มขึ้น 0.33% และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน(Core CPI) ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารสดและพลังงาน ในตุลาคมเพิ่มขึ้น 3.17% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่โพลล์คาดไว้เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบรายปี

 

  • ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กล่าวว่าจะเห็นได้ว่าสถานการณ์เงินฟ้อในปัจจุบัน มีทิศทางที่ชะลอตัว ดังนั้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม ที่เหลือ 2 เดือน คาดว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวลง”  ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 65 เพิ่มขึ้นในกรอบ 5.5-6.5% หรือค่ากลางที่ 6.0%

 



ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews

 

Tags : ข่าวทอง, ข่าวทองคำ, ทองคำ, ราคาทองคำ


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com