• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 4 มกราคม 2566

    4 มกราคม 2566 | Gold News

ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 1% ในวันอังคาร โดยได้แรงหนุนจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการเผยแพร่ในวันพุธตามเวลาสหรัฐ


  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 16.27 เหรียญ หรือ 0.89% อยู่ที่ระดับ 1,838.98 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 19.9 ดอลลาร์ หรือ 1.09% ปิดที่ 1,846.1 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 19.6 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 24.236 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 10.4 ดอลลาร์ หรือ 0.96% ปิดที่ 1,093.3 ดอลลาร์/ออนซ์
  • กองทุนทองคำ SPDR เมื่อวานนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองเท่าเดิมที่ 917.64 ตันภาพรวมเดือนธันวาคม ซื้อสุทธิ 9.55 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 58.02 ตัน


  • นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสจาก City Index กล่าวว่า ราคาทองคำยังคงมีการซื้อขายที่เบาบาง โดยยังคงเคลื่อนตัวอยู่แถวบริเวณแนวรับสำคัญที่ 1,830 เหรียญ อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของราคาทองคำในขณะนี้มาจากการซื้อขายทางเทคนิค มากกว่าปัจจัยสนับสนุนด้านพื้นฐาน 


  • หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ที่ Saxo Bank กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์และผลตอบแทนอัตราพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ตลาดทองคำให้ความสนใจ


ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง


  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.92 จุด หรือ 0.89% มาอยู่ที่ระดับ 104.58 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี  ปรับตัวลดลง -0.09 % มาอยู่ที่ระดับ 3.743% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.04 % มาอยู่ที่ระดับ 4.372% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.63% อยู่ในภาวะ inverted yield curve


  • ผู้ว่าการธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) กล่าวว่า BOK จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือซอฟต์แลนดิ้ง (soft landing) ท่ามกลางสภาวะที่ไม่แน่นอนทั้งภายในประเทศและภายนอก


ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ


  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบเช่นกัน เนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของหุ้นเทสลาและแอปเปิ้ลเป็นปัจจัยฉุดตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับจับตารายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ของเฟดซึ่งจะมีการเผยแพร่ในวันพุธตามเวลาสหรัฐ


  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,136.37 จุด ลดลง 10.88 จุด หรือ -0.03%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,824.14 จุด ลดลง 15.36 จุด หรือ -0.40% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,386.98 จุด ลดลง 79.50 จุด หรือ -0.76%


  • บาร์เคลย์ แคปิตอล อิงค์ระบุว่า ปี 2566 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกทรุดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษ ขณะที่ บริษัทเน็ด เดวิส รีเสิร์ช อิงค์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกมีโอกาสเผชิญกับการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงถึง 65% ส่วนฟิเดลลิตี้ อินเตอร์เนชันแนลมองว่า เศรษฐกิจโลกจะทรุดตัวลงแบบหนักหน่วงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


  • ผู้ก่อตั้งบริษัทไซออน แอสเซท แมเนจเมนท์ (Scion Asset Management) เชื่อมั่นว่า แม้เงินเฟ้อในสหรัฐแตะจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอีกรอบ จากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้ายจะเผชิญกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้ออีกระลอก


  • China Beige Book บ่งชี้ว่า ภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนต่างก็ชะลอตัวลงอย่างมากในไตรมาส 4/2565 เนื่องจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาด ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจจีนหดตัวในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565


  • กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนเปิดเผยว่า ทริปการท่องเที่ยวในประเทศในช่วงวันหยุดยาว 3 วันเนื่องในเทศกาลปีใหม่นั้น มีมากถึง 52.7 ล้านครั้ง ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.44% เมื่อเทียบเป็นรายปี


  • ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนหดตัวลงรุนแรงมากขึ้นในเดือนธ.ค. เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นทำให้การผลิตสะดุดลง และส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ หลังจากที่จีนยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนธ.ค.ลดลงสู่ระดับ 49.0 จากระดับ 49.4 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนี PMI อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 5 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI เดือนธ.ค.อยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2565 แต่ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 48.8


  • กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2565 ขยายตัว 3.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งดีกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ที่ 3.5% อย่างไรก็ดี คาดว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์จะชะลอตัวลงในปี 2566


  • ผลสำรวจของเกียวโดนิวส์ บ่งชี้ให้เห็นว่า มีเพียงบริษัทขนาดใหญ่ในญี่ปุ่นประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่คาดว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเติบโตในปี 2566 โดยอ้างเหตุผลจากราคาทรัพยากรธรรมชาติและวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น อันเนื่องจากสงครามยูเครนและสกุลเงินเยนที่อ่อนค่า


  • เกาหลีใต้เตรียมขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีในภาคอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ เช่น อุตสาหกรรมชิปท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก โดยรัฐบาลจะปรับใช้อัตราการลดหย่อนภาษีที่สูงขึ้นเป็น 15% สำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตชิปของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการปรับแก้ไขครั้งก่อนที่ระดับ 8% และอัตราการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะเพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 25% ด้วยเช่นกัน


ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน


  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 4% ในวันอังคาร โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงในจีน รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา และการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์


  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 3.33 ดอลลาร์ หรือ 4.1% ปิดที่ 76.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ดิ่งลง 3.81 ดอลลาร์ หรือ 4.4% ปิดที่ 82.10 ดอลลาร์/บาร์เรล

ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ



  • เกาหลีใต้และสหรัฐอยู่ในระหว่างหารือร่วมกันในการวางแผนและการดำเนินการเกี่ยวกับปฏิบัติการด้านอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐเพื่อตอบโต้กับการคุกคามจากเกาหลีเหนือ


  • ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐเปิดเผยว่า ไม่ได้หารือกับเกาหลีใต้เรื่องการซ้อมรบร่วมกันโดยใช้อาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐ สวนทางกับที่ประธานาธิบดียุน ซอกยอลแห่งเกาหลีใต้ กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการมีบทบาทมากขึ้นในการบริหารจัดการอาวุธปรมาณูบนคาบสมุทรเกาหลี


  • กระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยว่า นายฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของจีนมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับสหรัฐ ในระหว่างการสนทนากับนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐผ่านทางโทรศัพท์ในวันปีใหม่ที่ผ่านมา

ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด



  • สื่อทางการของจีนปฏิเสธเกี่ยวกับความรุนแรงของโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ขณะที่คาดว่านักวิทยาศาสตร์ของจีนจะบรรยายสรุปต่อองค์การอนามัยโลก (WHO) เกี่ยวกับวิวัฒนาการของไวรัส ทั้งนี้ จีนพบผู้เสียชีวิตจากโควิดรายใหม่ 3 รายในวันจันทร์ เพิ่มขึ้นจาก 1 รายในวันอาทิตย์ โดยมียอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่โรคโควิด-19 เริ่มระบาดอยู่ที่ 5,253 รายในขณะนี้


  • สหภาพยุโรป (EU) เสนอมอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับจีนโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยในการควบคุมการแพร่ระบาด


  • สหราชอาณาจักรจะอนุญาตให้นักเดินทางจากจีนเข้าประเทศโดยไม่บังคับให้ตรวจโรคโควิด-19 นับตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป


  • รัฐบาลออสเตรเลียและแคนาดาประกาศข้อกำหนดให้ผู้โดยสารจากจีน, ฮ่องกง และมาเก๊า จะต้องแสดงผลตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี PCR เป็นลบภายในระยะเวลา 2 วันก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางมายังออสเตรเลียและแคนาดา โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.นี้


  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี (KDCA) เปิดเผยว่า จะดำเนินมาตรการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับนักท่องเที่ยวจากฮ่องกงและมาเก๊า หลังจากจีนตัดสินใจยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-COVID)


  • ญี่ปุ่น เผย จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดนกในญี่ปุ่นพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มในจังหวัดชิบะและจังหวัดฟุกุโอกะ โดยมีผู้ป่วยไข้หวัดนกที่ได้รับการยืนยันแล้วจำนวนทั้งสิ้น 54 รายจาก 23 จังหวัดทั่วญี่ปุ่นในช่วงไข้หวัดนกระบาดนี้


ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท


  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.30-34.50 บาทต่อดอลลาร์


  • นักวิเคราะห์มองว่า เงินบาทจะได้ประโยชน์เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งฉุดให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง เราคาดว่าในปี 2566 เงินบาทจะทำผลงานแซงหน้าสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น เนื่องจากหลายปัจจัยเช่น จีนเปิดประเทศ, เฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย และดอลลาร์อ่อนค่าลง นอกจากนี้เราคาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น


  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 65 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมจำนวน 11,136,814 คน มีรายได้จากการท่องเที่ยวสะสมประมาณ 3.64 แสนล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจากประเทศที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 1,925,052 คน รองลงมา คือ อินเดีย 1,000,370 คน สิงคโปร์ 604,890 คน เกาหลีใต้ 539,734 คน และลาว 503,959 คน ตามลำดับ

 


ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews

Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง

 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com