ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ในวันอังคาร เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารของสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 35.09 เหรียญ หรือ 1.77% อยู่ที่ระดับ 2,016.57 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้น 31.10 เหรียญ หรือ 1.56% ปิดที่ 2,023.30 เหรียญ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. 2566
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 38.90 เซนต์ หรือ 1.54% ปิดที่ 25.619 เหรียญ
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 13.60 เหรียญ หรือ 1.28% ปิดที่ 1,078.30 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าซื้อเข้า 3.47 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 928.3 ตันภาพรวมเดือนพฤษภาคม ซื้อสุทธิ 2.02 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 10.66 ตัน
- นักวิเคราะห์จากบริษัท Gold Newsletter กล่าวว่า สัญญาทองคำดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และกลับมายืนที่เหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -0.29 จุด หรือ -0.28% มาอยู่ที่ระดับ 101.86 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง -0.14 % มาอยู่ที่ระดับ 3.43% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.19 % มาอยู่ที่ระดับ 3.97% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.54%
- ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เปิดเผยว่า ธนาคารในยูโรโซนได้คุมเข้มการเข้าถึงสินเชื่อ แม้ขณะที่ความต้องการสินเชื่อจากภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจร่วงลงก็ตาม ซึ่งเป็นสัญญาณใหม่ที่แสดงว่า ต้นทุนการกู้ที่สูงขึ้นกำลังกระทบเศรษฐกิจ
- ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 3.85% พร้อมกับส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดการเงิน เนื่องจากก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า RBA จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันอังคาร โดยตลาดถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารของสหรัฐ รวมทั้งความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ และความเสี่ยงที่สหรัฐจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,684.53 จุด ร่วงลง 367.17 จุด หรือ -1.08%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,119.58 จุด ลดลง 48.29 จุด หรือ -1.16%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,080.51 จุด ลดลง 132.09 จุด หรือ -1.08%
- นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐเตือนว่า สหรัฐอาจจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ภายในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ซึ่งเร็วกว่าที่รัฐบาลและนักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
- บรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) มีแผนที่จะยกเครื่องประกันเงินฝากขนานใหญ่ หลังเหตุการณ์ธนาคารล้มเมื่อไม่นานมานี้ได้ทำให้รัฐบาลสูญเงินบางส่วนที่ใช้ในการปกป้องลูกค้าของกลุ่มธนาคารที่ประสบปัญหา อย่างไรก็ดี FDIC ระบุว่า การเปลี่ยนมาให้การ “คุ้มครองแบบกำหนดเป้าหมาย” จะทำให้บัญชีธนาคารของธุรกิจได้รับการคุ้มครองเพิ่มมากขึ้นจากเพดานปัจจุบัน จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเสถียรภาพทางการเงิน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาคองเกรสเสียก่อน
- ธนาคารเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ เปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไรก่อนหักภาษีในไตรมาส 1/2566 พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 212% สู่ระดับ 1.29 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 4.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก ทั้งนี้ กำไรในไตรมาส 1 ของ HSBC สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 8.64 พันล้านดอลลาร์
- นางคริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยว่า การเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำไปเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้น ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาคธนาคารอ่อนแอลง และคาดว่าผลกระทบนั้นยังไม่หมดสิ้น การที่เจพีมอร์แกนเข้าซื้อกิจการ FRB ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เผชิญกับภาวะเปราะบางเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
- ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกนเปิดเผยว่า วิกฤตการณ์ซึ่งเป็นเหตุให้ธนาคารระดับภูมิภาค 3 แห่งของสหรัฐล่มสลายลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากเจพีมอร์แกนได้ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการ ธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (FRB) โดยเจพีมอร์แกนได้เข้าครอบครองเงินฝาก 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์ของ FRB รวมถึงเงินกู้อีก 1.73 แสนล้านดอลลาร์ และหลักทรัพย์ 3 หมื่นล้านดอลลาร์
- นายแกรี คอห์น อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า ไม่คิดว่าธนาคารจะล้มเพียงแค่สามแห่ง วิกฤตการณ์ในภาคธนาคารของสหรัฐนั้นไม่น่าจะจบลงง่าย ๆ เช่นนี้ ปัญหาในภาคธนาคารของสหรัฐจะเกิดขึ้นอีก
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยระบุว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นหลัก ๆ จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นในอินเดีย ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ของโลกมีแนวโน้มเผชิญภาวะเศรษฐกิจเติบโตแบบชะลอตัวจากผลพวงของการคุมเข้มนโยบายการเงินและกรณีที่รัสเซียยกพลบุกโจมตียูเครน โดย IMF คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะขยายตัวที่ 4.6% ในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.3% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
- กิจกรรมภาคการผลิตของยูโรโซนหดตัวลงอีกในเดือนเม.ย. แม้ว่าจะไม่มากเท่ากับที่คาดการณ์เบื้องต้นก็ตาม ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบร่วงลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี
- เศรษฐกิจของฮ่องกงขยายตัว 2.7% ในไตรมาส 1/2566 จากปีก่อน หลังจากฮ่องกงยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และกลับมาเปิดพรมแดนที่ติดกับจีนอีกครั้ง
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ในวันอังคาร เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ รวมทั้งวิตกว่าการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 4 ดอลลาร์ หรือ 5.3% ปิดที่ 71.66 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. ร่วงลง 3.99 ดอลลาร์ หรือ 5% ปิดที่ 75.32 ดอลลาร์/บาร์เรล
- นักลงทุนจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของ S&P Global Commodity Insights คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะลดลง 3.3 ล้านบาร์เรล
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- จีนใช้กฎหมายห้ามออกนอกประเทศมากขึ้น ขณะที่จีนและสหรัฐมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าและความมั่นคง ซึ่งกฎหมายดังกล่าวขัดแย้งกับการที่จีนได้ประกาศไว้ว่า กำลังเปิดรับการลงทุนและการเดินทางจากต่างประเทศ หลังจากที่ได้ยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ที่เข้มงวดที่สุดในโลก
- ผู้นำทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และจีนระบุในถ้อยแถลงร่วมว่า พวกเขายอมรับความสำคัญของการทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าแข็งแกร่งขึ้นเพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัวหลังโรคระบาด, ลดผลกระทบเชิงลบในระยะยาวให้เหลือน้อยที่สุด และเตรียมตัวรับผลกระทบในอนาคต
- นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ผู้นำญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เขามีแผนเดินทางเยือนเกาหลีใต้ 2 วันในวันอาทิตย์นี้ เพื่อพบปะกับประธานาธิบดียุน ซอกยอลของเกาหลีใต้ ในขณะที่ทั้ง 2 ชาติกำลังเร่งผลักดันความพยายามในการพัฒนาความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี ท่ามกลางภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและอุปสรรคอื่น ๆ
- ธนาคารกลางของเกาหลีใต้และอินโดนีเซียลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมมือกันส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรมทวิภาคี เช่น การทำธุรกรรมบัญชีเดินสะพัด และการลงทุนโดยตรง
ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด
- ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เตรียมยกเลิกมาตรการบังคับฉีดวัคซีนโควิด-19 ของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้รับเหมา และผู้ที่เดินทางมาด้วยเครื่องบินระหว่างประเทศในวันที่ 11 พ.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโควิด-19 จะสิ้นสุดลง
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.06 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.22 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.90-34.25 บาทต่อดอลลาร์
- ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท. ปรับลดคาดการณ์การส่งออกรวมทั้งปี 66 เติบโตระหว่าง 0-1% (ณ เดือนพ.ค. 66) รวมมูลค่า 286,000-290,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดือนก่อนที่คาดการณ์ไว้ที่ 1-2% เนื่องจากไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 66 หลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ การฟื้นตัวของจีนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งวิกฤตภาคธนาคาร และความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ดี ยังมั่นใจว่าทั้งปีจะไม่ติดลบ ไม่ต่ำกว่าปีก่อนแน่นอน
- สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) กระทรวงการคลัง เผยหนี้สาธารณะคงค้างของไทย ณ สิ้นเดือนมี.ค. อยู่ที่ 10.780 ล้านล้านบาท คิดเป็น 61.23% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เทียบกับยอดหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนก.พ. อยู่ที่ 10.725 ล้านล้านบาท คิดเป็น 61.13% ของจีดีพี
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews
Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง