ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และผู้นำสภาคองเกรส
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 5.02 เหรียญ หรือ 0.25% อยู่ที่ระดับ 2,015.62 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 2.90 เหรียญ หรือ 0.14% ปิดที่ 2,022.70 เหรียญ
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 13.70 เซนต์ หรือ 0.57% ปิดที่ 24.291 เหรียญ
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 7.70 เหรียญ หรือ 0.72% ปิดที่ 1,074.70 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 3.47 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 934.07 ตันภาพรวมเดือนพฤษภาคม ซื้อสุทธิ 7.79 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 16.43 ตัน
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -0.27 จุด หรือ -0.26% มาอยู่ที่ระดับ 102.43 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.04 % มาอยู่ที่ระดับ 3.506% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.02 % มาอยู่ที่ระดับ 4.015% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.51%
- มิเชลล์ โบว์แมน หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันศุกร์ว่า เฟดอาจจะมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และเธอกล่าวเสริมว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในเดือนนี้ยังไม่ได้ทำให้เธอเชื่อมั่นว่า แรงกดดันเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง ทั้งนี้ เธอกล่าวว่า "ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว ก็มีแนวโน้มว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไปจะเป็นสิ่งที่เหมาะสม
- นายฟิลิป เจฟเฟอร์สัน ผู้ว่าการเฟด และนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดกำลังปรับอัตราดอกเบี้ยใกล้สู่ระดับที่จำเป็นต่อการเอาชนะสงครามต่อสู้กับเงินเฟ้อมากขึ้น แต่ก็ไม่มีรายใดที่ให้สัญญาณชัดเจนว่า อัตราดอกเบี้ยแตะระดับดังกล่าวแล้ว ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่แน่ใจที่ว่า เฟดจะหยุดพักการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้าตามที่มีการคาดการณ์ในวงกว้างหรือไม่
- นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในงานเสวนา Thomas Laubach Research Conference ว่าด้วยนโยบายการเงิน ซึ่งเฟดจะจัดขึ้นในวันศุกร์นี้ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี โดยจะมีเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนเข้าร่วมงานเสวนาดังกล่าวด้วย
- สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ECB ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 3.75% ตั้งแต่เดือนก.ค. เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งแตะระดับเลขสองหลักเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว และจะใช้เวลาจนถึงปี 2568 เพื่อให้กลับสู่ระดับเป้าหมายของธนาคารที่ 2%
- ธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเงินจำนวน 2.5 หมื่นล้านหยวนเข้าสู่ระบบธนาคาร โดยดำเนินการผ่านโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ที่อัตราดอกเบี้ย 2.75% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่แล้ว และเป็นการคงอัตราดอกเบี้ย MLF ติดต่อกันเดือนที่ 9 สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนยังได้อัดฉีดเงิน 2 พันล้านหยวนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านข้อตกลง reverse repo ประเภทอายุ 7 วันที่อัตราดอกเบี้ย 2.00% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมเช่นกัน
- รมว.เศรษฐกิจญี่ปุ่นชี้บีโอเจต้องจัดการอย่างฉับไวกับความเสี่ยงในช่วงขาลง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐบาลหวังว่าบีโอเจจะพุ่งความสนใจไปที่การสนับสนุนเศรษฐกิจด้วยนโยบายที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษ
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันจันทร์ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตลดลงสู่ระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ ซึ่งทำให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และผู้นำสภาคองเกรส
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,348.60 จุด เพิ่มขึ้น 47.98 จุด หรือ +0.14%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,136.28 จุด เพิ่มขึ้น 12.20 จุด หรือ +0.30%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,365.21 จุด เพิ่มขึ้น 80.47 จุด หรือ +0.66%
- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ดิ่งลงสู่ระดับ -31.8 ในเดือนพ.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -3.75 หลังจากแตะระดับ +10.8 ในเดือนเม.ย. ทั้งนี้ ดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 0 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตในนิวยอร์กเผชิญภาวะหดตัว เนื่องจากอุปสงค์ที่ซบเซาส่งผลให้คำสั่งซื้อใหม่ปรับตัวลดลง ส่วนการจ้างงานชะลอตัวลง
- ปธน.ไบเดนจะพบปะกับนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ รวมทั้งผู้นำของสภาคองเกรสในวันนี้ เพื่อเจรจาเป็นครั้งที่ 2 เกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ หลังจากที่การเจรจาครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วไม่มีความคืบหน้า
- นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้ส่งจดหมายฉบับที่ 2 ถึงสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ เพื่อเน้นย้ำว่า สหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้อย่างเร็วที่สุดในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติการขยายเพดานหนี้
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า จีนจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยคาดว่าจะรักษาการเติบโตที่ต่อเนื่องและการบริโภคของภาคเอกชนที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัว 5.2% ในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.8% จากการคาดการณ์ก่อนหน้า เมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
- กลุ่มผู้ประกอบการที่ใช้เงินทุนจากต่างประเทศบางส่วนได้ริเริ่มโครงการใหม่จำนวนมากในจีนด้วยมุมมองต่อเศรษฐกิจจีนในเชิงบวก โดยมีเป้าหมายขยับขยายการดำเนินธุรกิจในจีน
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมใน 20 ประเทศที่ใช้ยูโร ลดลง 4.1% เมื่อเทียบรายเดือนในเดือนมี.ค. และลดลง 1.4% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.5% เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบรายปี
- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 5.8% ในเดือเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนมี.ค.ที่มีการขยายตัว 7.4% และเป็นการชะลอตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 4 ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเริ่มปรับตัวลดลง
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มอุปทานน้ำมันตึงตัวในแคนาดาและทั่วโลก อย่างไรก็ดี ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐได้สกัดแรงบวกในตลาด
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.07 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 71.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 75.23 ดอลลาร์/บาร์เรล
- นักวิเคราะห์จาก Mizuho กล่าวว่า เหตุการณ์ไฟป่าที่ลุกลามเป็นวงกว้างในรัฐแอลเบอร์ตาของแคนาดาส่งผลให้มีการระงับการผลิตน้ำมันจำนวนมาก และจะทำให้แคนาดาเผชิญภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัวมากขึ้น โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐแอลเบอร์ตาระงับการผลิตน้ำมันไปแล้วอย่างน้อย 300,000 บาร์เรล/วัน ขณะเดียวกันคาดว่าทั่วโลกจะเผชิญภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจไบเดน ผู้นำสหรัฐจะพบปะเจรจากับนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในวันพฤหัสบดีนี้ ที่เมืองฮิโรชิมา ก่อนที่การประชุมสุดยอดของกลุ่ม G7 จะเริ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีการหารือกันเกี่ยวกับการที่จีนแผ่อิทธิพลเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก รวมทั้งหารือเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนด้วย
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์ "แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.79 บาทต่อดอลลาร์ โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-33.90 บาท/ดอลลาร์
- กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.50-34.20 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 33.97 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.58-34.02 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบทุกสกุลเงินหลักในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตลาดกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ส่วนการคาดการณ์ที่ว่าสหรัฐฯจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยได้ถูกสะท้อนไปมากพอสมควรแล้ว
- สภาพัฒน์ แนะถึงการทำนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาว่า ประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจจากผลพวงการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งได้มีการใช้มาตรการทั้งด้านการเงินและมาตรการด้านการคลังอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤติดังกล่าว และพยุงเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้น การใช้งบประมาณในการทำนโยบายต่างๆ ระยะต่อไปของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามานี้ ควรต้องคำนึงถึงการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างเคร่งครัด เพราะจะมีผลต่อการที่ต่างประเทศจะประเมินเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป
- สภาพัฒน์ คงคาดการ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะขยายตัวในช่วง 2.7 -3.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการขยายตัวต่อเนื่องของการลงทุน โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 3.7% การลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัว 1.9% และ 2.7% ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. ลดลง 1.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 2.5 – 3.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.4% ของ GDP
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews
Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง