ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ขณะเดียวกันนักลงทุนรอดูผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยตลาดทองคำนิวยอร์กปิดทำการก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุม
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -1.32 เหรียญ หรือ -0.07% อยู่ที่ระดับ 1,941.94 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 10.30 เหรียญ หรือ 0.53% ปิดที่ระดับ 1,968.90 เหรียญ
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 28.30 เซนต์ หรือ 1.19% ปิดที่ 24.105 เหรียญ
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.90 เหรียญ หรือ 0.19% ปิดที่ 980 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 1.73 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 929.7 ตันภาพรวมเดือนมิถุนายน ขายสุทธิ 9.86 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 12.06 ตัน
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -0.36 จุด หรือ -0.35% มาอยู่ที่ระดับ 102.96 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง -0.02 % มาอยู่ที่ระดับ 3.794% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.02 % มาอยู่ที่ระดับ 4.692% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.9%
- นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังจากคณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธ (14 มิ.ย.) และได้เปิดเผยการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งบ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 5.50-5.75% ภายในสิ้นปีนี้ โดยนายพาวเวลกล่าวว่า การที่เฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยให้เฟดมีเวลาในการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม และเป็นผลดีต่อการตัดสินใจในอนาคต แต่ทิศทางนโยบายการเงินในวันข้างหน้านั้น กรรมการเฟดเกือบทั้งหมดต่างก็มีมุมมองที่สอดคล้องกันว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้ เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงในวันพุธที่ 14 มิ.ย.ตามเวลาสหรัฐ โดยระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ขณะที่การจ้างงานมีความแข็งแกร่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และอัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ ส่วนอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ คณะกรรมการจะยังคงปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ตามที่ได้อธิบายไว้ในแผนการปรับลดขนาดงบดุลบัญชีของเฟด ซึ่งมีการประกาศในช่วงก่อนหน้านี้ โดยคณะกรรมการมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 200 จุดในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด แต่ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,979.33 จุด ลดลง 232.79 จุด หรือ -0.68%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,372.59 จุด เพิ่มขึ้น 3.58 จุด หรือ +0.08%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,626.48 จุด เพิ่มขึ้น 53.16 จุด หรือ +0.39%
- ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯปรับตัวขึ้น 1.1% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.5% จากระดับ 2.3% ในเดือนเม.ย.
- ศุลกากรเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีนเปิดเผยว่า ท่าเรือเซี่ยงไฮ้รองรับการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 คิดเป็นมูลค่า 3.26 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบปีต่อปี
- สมาชิกสภาสหรัฐจากพรรคริพับลิกันและเดโมแครตเตรียมเสนอร่างกฎหมาย เพื่อยกเลิกสิทธิงดเว้นภาษีส่งนำเข้าสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐแก่กลุ่มอีคอมเมิร์ซ ทั้งนี้ การงดเว้นภาษีดังกล่าว ได้งดเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ หากสินค้าเหล่านั้นถูกจัดส่งไปยังลูกค้าทั่วไป โดยร่างกฎหมายฉบับนี้จะสั่งห้ามจัดส่งสินค้าประเภทดังกล่าวจากจีนทันทีที่มีผลบังคับใช้
- อัตราว่างงานเดือนพ.ค.ของเกาหลีใต้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งแม้เศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัวลงก็ตาม ทั้งนี้ อัตราว่างงานเดือนพ.ค.ลดลงสู่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.6% ในเดือนเม.ย. โดยอัตราว่างานเดือนพ.ค.ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สำนักงานสถิติเริ่มบันทึกข้อมูลตลาดแรงงานในเดือนมิ.ย. 2542
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในยูโรโซนเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือนในเดือนเม.ย. และเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบรายปี และรายเดือน
- ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีปรับขึ้นจาก -10.7 ในเดือนพ.ค. สู่ -8.5 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ -13.1 แต่ดัชนียังคงอยู่ในระดับติดลบ ทั้งนี้ การปรับขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมนีในครั้งนี้ช่วยกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจเยอรมนีอาจจะถดถอยลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- เศรษฐกิจของอังกฤษขยายตัวเล็กน้อยตามคาดในเดือนเม.ย. โดยได้แรงหนุนจากฟื้นตัวของภาคบริการ, ภาคการค้าปลีก และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ขณะที่ภาคการผลิตและการก่อสร้างหดตัวลง ทั้งนี้ เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัว 0.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
- เศรษฐกิจนิวซีแลนด์อาจจะหดตัวลงติดต่อกัน 2 ไตรมาส ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยในเวลาที่รวดเร็วกว่าที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของนิวซีแลนด์จะหดตัวลง 0.1% ในไตรมาส 1/2566 หลังจากที่หดตัวลง 0.6% ในไตรมาส 4/2565 ซึ่งเข้าเกณฑ์ของคำนิยามที่ว่า GDP ที่หดตัวลงติดต่อกัน 2 ไตรมาสบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.66% ปิดที่ 68.27 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.47% ปิดที่ 73.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
- กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คงตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2566 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 พร้อมกับเตือนว่าเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทั้งนี้ โอเปกคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 2.35 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ 2.4% ซึ่งแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ในเดือนที่แล้วที่ระดับ 2.33 ล้านบาร์เรล/วัน
- คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน วางแผนที่จะซื้อน้ำมันอย่างน้อย 12 ล้านบาร์เรลกลับคืนสู่คลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ในปีนี้ ซึ่งรวมถึงน้ำมันปริมาณ 6 ล้านบาร์เรลที่มีการประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ หลังจากที่ระบายน้ำมันจากคลังดังกล่าวออกมาขายกว่า 200 ล้านบาร์เรลในปีที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการขายน้ำมันในปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 180 ล้านบาร์เรล เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกหลังจากรัสเซียส่งทหารบุกเข้าทำสงครามในยูเครน ซึ่งการขายน้ำมันดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในคลัง SPR ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2526
- รัสเซียได้กลับมาส่งออกน้ำมันให้เกาหลีเหนืออีกครั้ง หลังทั้งสองประเทศพยายามกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ขณะที่สหรัฐออกโรงเตือนว่า เกาหลีเหนือกำลังวางแผนที่จะจัดส่งอาวุธให้กับรัสเซียเพิ่มมากขึ้น
- ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ตกลงที่จะจัดการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองฝ่าย โดยญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก กำลังมองหาลู่ทางที่จะสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- กระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยว่า นายฉิน กัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้หารือกับนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ โดยนายฉินระบุว่า สหรัฐควรหยุดแทรกแซงกิจการของจีน ทั้งนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า การหารือระหว่างนายฉินและนายบลิงเกนมีขึ้นก่อนที่นายบลิงเกนจะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ ในหลายประเด็นตั้งแต่ข้อกล่าวหาเรื่องการสอดแนมไปจนถึงการชิงชัยด้านเซมิคอนดักเตอร์
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนของซาอุดีอาระเบีย เผยว่า ซาอุดีอาระเบียมองว่าจีนเป็นหุ้นส่วนสำคัญในโลกที่มีหลายขั้ว โดยทั้งสองประเทศมีแนวโน้มที่จะใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมีผลประโยชน์ร่วมกันเพิ่มมากขึ้น โดยการประชุมธุรกิจอาหรับ-จีนจัดขึ้นเป็นปีที่ 10 แล้วในปีนี้
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- ค่าเงินบาทวันนี้เปิดตลาดอ่อนค่าที่ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าเมื่อเทียบกับราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 34.68 บาทต่อดอลลาร์ โดยกรอบแนวรับที่ 34.70 บาท แนวต้าน 34.90 บาท
- ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ในระดับ 3.6% และปี 2567 ที่ 3.8% โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีแรงส่งที่สำคัญจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ภาคการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย ธปท.คาดว่าทั้งปี จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ระดับ 29 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น 35.5 ล้านคนในปี 67 ส่วนการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดีต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในทุกกลุ่มอาชีพปรับดีขึ้น อย่างไรก็ดี ในภาคการส่งออกมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ -0.1% ซึ่งจะเห็นการขยายตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าการส่งออกไทยจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ที่ระดับ 3.6% ในปี 67
- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพ.ค. 66 อยู่ที่ระดับ 92.5 ปรับตัวลดลงจาก 95.0 ในเดือนเม.ย. โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews
Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง