• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 10 สิงหาคม 2566

    10 สิงหาคม 2566 | Gold News


ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันพุธ และปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)


  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -10.21 เหรียญ หรือ -0.53% อยู่ที่ระดับ 1,914.95 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 9.30 เหรียญ หรือ 0.47% ปิดที่ 1,950.60 เหรียญ ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ก.ค. 2566
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 7.60 เซนต์ หรือ 0.33% ปิดที่ 22.731 เหรียญ
  • สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 11.50 เหรียญ หรือ 1.27% ปิดที่ 892.70 เหรียญ
  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 0.31 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 903.38 ตันภาพรวมเดือนสิงหาคม ขายสุทธิ 9.55 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 14.26 ตัน


ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง 


  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -0.07 จุด หรือ -0.07% มาอยู่ที่ระดับ 102.48 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี  ปรับตัวลดลง -0.01 % มาอยู่ที่ระดับ 4.012% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.05 % มาอยู่ที่ระดับ 4.81% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.8% 


  • นายแพทริค ฮาร์เคอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียกล่าวว่า อาจจะถึงเวลาแล้วที่เฟดจะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในระยะนี้ไม่ได้ปรับเปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลันในอนาคต ทั้งนี้ เขากล่าวว่า "ถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ที่ออกมาตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงช่วงกลางเดือนก.ย.ไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนัก ผมก็เชื่อว่าเฟดอาจจะมาถึงจุดที่เฟดจะสามารถใช้ความอดทนและคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมได้แล้ว และเฟดจะปล่อยให้การปรับนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาได้ทำงานของตนเอง"


  • FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 86% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 19-20 ก.ย.


ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ


  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากมีรายงานว่าชาวอเมริกันเป็นหนี้บัตรเครดิตสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนก.ค.ของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)


  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,123.36 จุด ลดลง 191.13 จุด หรือ -0.54%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,467.71 จุด ลดลง 31.67 จุด หรือ -0.70% 
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,722.02 จุด ลดลง 162.31 จุด หรือ -1.17%


  • เทรดเดอร์พันธบัตรกำลังจับตาการกลับมาของรูปแบบการซื้อขายที่เคยทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงต้นปีนี้ นั่นคือการคาดการณ์ว่าเส้นโค้งผลตอบแทนที่จะกลับคืนสู่ภาวะปกติมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทำให้ธนาคารกลางต่างๆต้องลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ รูปร่างของเส้นโค้งผลตอบแทนถูกจับตาในสัปดาห์ที่แล้ว โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐและยุโรปพุ่งขึ้นมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น


  • นายคีธ เลอร์เนอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัททรูอิสต์ แอดไวซอรี เซอร์วิสเซสกล่าวว่า "นักลงทุนเคยมองว่าการพุ่งขึ้นของบอนด์ยิลด์เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และสิ่งนี้บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงน้อยลงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ดี ถ้าหากบอนด์ยิลด์ยังคงปรับขึ้นต่อไป ก็จะเป็นเรื่องที่ยากมากยิ่งขึ้นที่มูลค่าหุ้นจะปรับขึ้นไปอีก"


  • บริษัทมูดี้ส์ระบุว่า ภาคธนาคารของสหรัฐยังแข็งแกร่งอยู่ แม้หลังจากที่มูดี้ส์ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางขนาดกลางและขนาดย่อมบางแห่งลง และเตือนว่าอาจจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารชั้นนำหลายแห่ง เนื่องจากกำไรถูกกดดัน


  • สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติ (NFIB) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมในสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนในเดือนก.ค. เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจขนาดย่อมเพิ่มขึ้น 0.9 จุด สู่ระดับ 91.1 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนพ.ย.2022


  • เฟดสาขานิวยอร์กเปิดเผยรายงานรายไตรมาสเกี่ยวกับหนี้ภาคครัวเรือนและสินเชื่อ โดยระบุว่า หนี้บัตรเครดิตของชาวอเมริกันในไตรมาส 2/2566 พุ่งขึ้น 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แตะระดับ 1.03 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าก็ปรับตัวขึ้นด้วย เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนขยับขึ้นเพียง 0.1% สู่ระดับ 17.06 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากหนี้เงินกู้จำนองซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของหนี้สินภาคครัวเรือนนั้น แทบไม่เปลี่ยนแปลง


  • สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) ของรัฐบาลสหรัฐได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐในปี 2566 สู่ระดับ 1.9% เพิ่มขึ้นจากระดับคาดการณ์เดิมที่ 1.5%


  • สถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของอังกฤษ (NIESR) เปิดเผยคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะไม่สามารถทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับไปสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ได้ก่อนปี 2571 เป็นอย่างน้อย พร้อมเตือนว่าเศรษฐกิจอังกฤษกำลังเผชิญกับภาวะซบเซา โดยคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะลดลงจาก 7.9% ในขณะนี้ แตะ 5.2% ภายในสิ้นปี 2566 แต่จะชะลอการลดลงหลังจากนั้น โดยค่าเฉลี่ยจะสูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% ของ BoE ในปี 2568, 2569 และ 2570


  • ทางการจีนเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่จีนจะเผชิญกับภาวะเงินฝืด และคาดว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนเป็นวงกว้าง โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวลง 0.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2564 ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 4.4% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งปรับตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจลดลง 4.1%


  • หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดคาดการณ์ว่า ดัชนี CPI ของจีนอาจจะขยายตัวเพียง 0.5% ในปีนี้ และคาดว่าดัชนี PPI อาจลดลง 3.5%


ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน


  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ ขานรับสต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาด รวมทั้งข่าวซาอุดีอาระเบียและรัสเซียปรับลดอุปทานน้ำมัน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบดบังปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์น้ำมันชะลอตัวในประเทศจีน


  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.48 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 84.40 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.38 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 87.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. 2566


  • EIA คาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 850,000 บาร์เรล/วัน แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12.76 ล้านบาร์เรล/วัน และคาดว่าการผลิตน้ำมันดิบในปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 330,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 13.09 ล้านบาร์เรล/วัน โดยระบุเพิ่มเติมว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์โดยเฉลี่ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะอยู่ที่ 86 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 7 ดอลลาร์จากตัวเลขคาดการณ์เดิม

ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ


  • นายไคล์ บาส ประธานบริษัทเฮย์แมน แคปิตอล แมเนจเมนต์ แสดงความเชื่อมั่นว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนตั้งใจที่จะนำสงครามมาสู่ตะวันตกโดยจีนมีแนวโน้มจะรุกรานไต้หวันก่อนช่วงสิ้นปี 2567


  • กระทรวงกลาโหมไต้หวันเปิดเผยว่า เครื่องบินของกองทัพอากาศจีน 10 ลำบินเข้าเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศของไต้หวันในเมื่อวานนี้ พร้อมกับเรือรบจีนอีก 5 ลำที่ได้ออกลาดตระเวนในสภาพพร้อมรบซึ่งนับเป็นการบุกรุกครั้งที่ 2 แล้วในสัปดาห์นี้

ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท


  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.10 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.94 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.95-35.20 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ  และมองกรอบเงินบาทที่ระดับ 34.85-35.40 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ


  • ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2566 อาจปรับลดลงจากคาดการณ์ แต่ภาพรวมจะยังเห็นการเติบโตได้ที่ระดับ 3% กลางๆ จากคาดการณ์ล่าสุดที่ 3.6% เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก แต่เศรษฐกิจไทยยังมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แม้บางช่วงอาจจะเห็นตัวเลขต่ำกว่าคาดการณ์บ้าง แต่ภาพรวมยังไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ได้ประเมินไว้

 

 


ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews

Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com