ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 6 ในวันจันทร์ นื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นปัจจัยกดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกประจำเดือนก.ค. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -6.31 เหรียญ หรือ -0.33% อยู่ที่ระดับ 1,907.51 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.60 ดอลลาร์ หรือ 0.13% ปิดที่ 1,944.00 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 3.50 เซนต์ หรือ 0.15% ปิดที่ 22.708 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 7.80 ดอลลาร์ หรือ 0.85% ปิดที่ 906.80 ดอลลาร์/ออนซ์
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 3.76 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 895.87 ตันภาพรวมเดือนสิงหาคม ขายสุทธิ 17.06 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 21.77 ตัน
- สัญญาทองคำปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ดิ่งลงเกือบ 1.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 มิ.ย.
- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 โดยได้แรงหนุนจากการชะลอตัวของอัตราดอกเบี้ย และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งจะทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ดึงดูดแรงซื้อจากนักลงทุน
- ข้อมูลจากรีฟินิทีฟ (Refinitiv) ระบุว่า ราคาทองสปอตทะยานขึ้นแตะระดับ 2,072.5 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2563 ขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ราคาทองมีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นเหนือระดับดังกล่าว และทำสถิติใหม่
- หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์โลกของบริษัททีดี ซีเคียวริตีส์ (TD Securities) คาดว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 2,100 ดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2566 และคาดว่าในช่วงต้นปี 2567 ราคาทองก็จะยังเคลื่อนไหวที่ระดับดังกล่าว โดยปัจจัยที่ทำให้มีมุมมองบวกดังกล่าวคือความเป็นไปได้ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยมั่นใจว่าเฟดจะยุติวงจรนี้ก่อนที่อัตราเงินเฟ้อจะลดลงสู่ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2%”
- ซีอีโอของบริษัทวีตัน พรีเซียส เมทัลส์ (Wheaton Precious Metals) มั่นใจอย่างมากว่าราคาทองจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,500 ดอลลาร์ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยเชื่อว่าทองคำจะได้ประโยชน์จากแรงซื้อท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจจีนและสหรัฐที่ส่งสัญญาณอ่อนแอลงในขณะนี้
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.3 จุด หรือ 0.29% มาอยู่ที่ระดับ 103.15 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.02 % มาอยู่ที่ระดับ 4.195% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.06 % มาอยู่ที่ระดับ 4.973% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.78%
- นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตากล่าวว่า เฟดได้ทำงานอย่างหนักในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินไปกลับลงมาอยู่ที่เป้าหมาย 2% ขณะที่เฟดยังตั้งเป้าหมายที่จะสร้างการจ้างงานให้มากที่สุดและยั่งยืนด้วย
- นายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียกล่าวว่า เฟดกำลังมีความคืบหน้าในการต่อสู้เพื่อทำให้เงินเฟ้อลดลง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังมาถึงช่วงเวลาที่พลิกผัน
- นักวิจัยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาริชมอนด์ระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดกำลังเผชิญกับ "สถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย" หรือสถานการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดต้องกำหนดนโยบายการเงินภายในภาวะแวดล้อมที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง แต่อัตราการว่างงานไม่ได้พุ่งสูงขึ้น โดยวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ถือเป็นวัฏจักรที่ "ไม่เหมือนกับครั้งใด ๆ" และถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (FOMC) สามารถทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงได้เป็นอย่างมาก โดยที่ไม่ส่งผลให้อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้นในเวลาเดียวกัน"
- นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2567 เนื่องจากเฟดต้องการจะปรับอัตราดอกเบี้ยให้กลับสู่ระดับปกติเมื่อตัวเลขเงินเฟ้อชะลอตัวลงใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% โดยคาดว่าท้ายที่สุดแล้วอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3-3.25% ส่วนในการประชุมเฟดครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นใน 19-20 ก.ย.นั้น คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับ 5.25-5.50%
- เทรดเดอร์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ และอาจจะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงต้นปีหน้า
- FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI ดังกล่าว นักลงทุนให้น้ำหนัก 90.5% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 19-20 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 9.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75%
- นักลงทุนจับตารายงานการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
- ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 24-26 ส.ค. โดยการประชุมปีนี้จัดขึ้นในหัวข้อ “Structural Shifts in the Global Economy” โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่าการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด จะส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ หลังเงินเฟ้อสหรัฐเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 3.2% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.3%
- รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจ 53% ของโพลล์คาดว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ 3.75% ในการประชุมวันที่ 14 ก.ย.
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า 1% หลังจากหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และช่วยหนุนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีทุนจดทะเบียนสูงรายอื่น ๆ ดีดตัวขึ้นด้วย
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,307.63 จุด เพิ่มขึ้น 26.23 จุด หรือ +0.07%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,489.72 จุด เพิ่มขึ้น 25.67 จุด หรือ +0.58%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,788.33 จุด เพิ่มขึ้น 143.48 จุด หรือ +1.05%
- สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) รายงานว่า มีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่พอร์ตลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาราว 3.28 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ซึ่งถือเป็นยอดเงินลงทุนไหลเข้าที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. หรือสูงที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยนักเศรษฐศาสตร์ของ IIF ระบุว่า "ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่น่าจะยังคงมีแนวโน้มที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป, อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง และบรรยากาศทางการเมืองระหว่างประเทศส่งผลดีต่อตลาดมากยิ่งขึ้น
- ธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่า ยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนของธนาคารจีนในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 3.459 แสนล้านหยวน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดว่าธนาคารจีนจะปล่อยกู้เพิ่มขึ้น 7.80 แสนล้านหยวนในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นหลักฐานล่าสุดที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเงินฝืดเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และความกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศอ่อนแอลงด้วย
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 68 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 82.51 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 60 เซนต์ หรือ 0.69% ปิดที่ 86.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
- กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ระบุว่า โอเปกมองเห็นแนวโน้มตลาดน้ำมันที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง และยังคงคาดว่าความต้องการน้ำมันจะอยู่ในระดับแข็งแกร่งในปีนี้ ขณะที่แนวโน้มสำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกดีขึ้นเล็กน้อย โดยโอเปกคงคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า เทียบกับที่จะเพิ่มขึ้น 2.44 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ และคาดว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.6% ในปีหน้า ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.5% ที่คาดไว้ก่อนหน้า และคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.7% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 2.6% ที่คาดไว้ก่อนหน้า
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยว่า รัสเซียได้ทำลายโดรนยูเครน 20 ลำที่จู่โจมเหนือแคว้นไครเมียเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้เปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.25 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดสัปดาหก่อนหน้า ที่ระดับ 35.07 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.75-35.50 บาทต่อดอลลาร์
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews
Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง