ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 7 ในวันอังคาร และปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน เนื่องจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและการแข็งค่าของดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาด
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -5.69 เหรียญ หรือ -0.3% อยู่ที่ระดับ 1,901.82 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 8.80 เหรียญ หรือ 0.45% ปิดที่ 1,935.20 เหรียญ ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 5.20 เซนต์ หรือ 0.23% ปิดที่ 22.656 เหรียญ
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 14.60 เหรียญ หรือ 1.61% ปิดที่ 892.20 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 1.44 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 894.43 ตันภาพรวมเดือนสิงหาคม ขายสุทธิ 18.5 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 23.21 ตัน
- ราคาทองคำของจีนอยู่ในระดับสูงกว่าราคาทองคำที่มีการซื้อขายในตลาดลอนดอน และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เทรดเดอร์ของจีนระบุว่าเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลจีนควบคุมการนำเข้าทองคำ โดยราคาทองสปอตในตลาดเซี่ยงไฮ้ของจีนอยู่ในระดับสูงกว่าราคาทองในตลาดลอนดอนอยู่ประมาณ 37 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ซึ่งเป็นส่วนต่างสูงที่สุดในรอบเกือบ 5 เดือน โดยส่วนต่างดังกล่าวปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิ.ย. แม้ว่าอุปสงค์ทองคำของกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนปรับตัวลดลงก็ตาม
- กรรมการผู้จัดการบริษัทเมทัล โฟกัส คาดการณ์ว่า อุปสงค์ทองคำในจีนจะค่อนข้างซบเซา โดยจะไม่ถึงกับดีมากหรือแย่มาก แต่สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคืออุปทานทองคำในจีนจะอยู่ในภาวะตึงตัว
- นักวิเคราะห์จากบริษัท FxPro กล่าวว่า การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของดอลลาร์ยังคงสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ โดยขณะนี้ดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับเฉลี่ย 200 วันซึ่งเป็นมาตรวัดแนวโน้มในระยะยาว หากดัชนีดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวที่เหนือระดับ 103.2 ต่อไป ก็มีแนวโน้มที่ดัชนีจะพุ่งขึ้นแตะกรอบ 105.3 – 107.5 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.06 จุด หรือ 0.06% มาอยู่ที่ระดับ 103.21 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.02 % มาอยู่ที่ระดับ 4.217% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.01 % มาอยู่ที่ระดับ 4.963% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.75%
- ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปีซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีน ลง 0.15% สู่ระดับ 2.50% ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไว้ที่ระดับ 2.65% ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางจีนยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (reverse repurchase rate) ระยะ 7 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นของจีน ลง 0.10% สู่ระดับ 1.8%
- นายชุนอิจิ ซูซุกิ รมว.คลังญี่ปุ่นกล่าวว่า ทางการไม่ได้กำหนดระดับค่าเงินที่แน่นอนเมื่อจะทำการแทรกแซงในตลาด ขณะที่ดอลลาร์/เยนแข็งค่าทะลุระดับ 145 ซึ่งเป็นระดับที่ทำให้ญี่ปุ่นเคยเข้าแทรกแซงซื้อเยนเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1998 ในเดือนก.ย.ปีที่แล้ว
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงหลุดจากระดับ 35,000 จุดในวันอังคาร หลังสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นมากกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปอีกเป็นเวลานานขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากการที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ขู่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารสหรัฐ
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,946.39 จุด ลดลง 361.24 จุด หรือ -1.02%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,437.86 จุด ลดลง 51.86 จุด หรือ -1.16%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,631.05 จุด ลดลง 157.28 จุด หรือ -1.14%
- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเผยผลสำรวจคาดการณ์เงินเฟ้อผู้บริโภคเดือนก.ค. โดยชาวอเมริกันคาดว่าใน ระยะเวลาอีก 1 ปีข้างหน้าเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2564 ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อ ของผู้บริโภคในระยะเวลา 3 ปี และ 5 ปีข้างหน้า ปรับตัวลงสู่ระดับ 2.9%
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 3.17% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.50% และเมื่อเทียบรายเดือน ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.7% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% โดยแรงหนุนจากยอดขายออนไลน์ในวัน Amazon Prime Day
- การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ของจีนปรับตัวขึ้นเพียง 3.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนมิ.ย.ที่มีการขยายตัว 4.4% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมอาจปรับตัวขึ้น 4.4% ขณะที่ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ขยับขึ้นเพียง 2.5% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนมิ.ย.ที่เพิ่มขึ้น 3.1% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าอาจเพิ่มขึ้น 4.5% แม้ว่าเดือนก.ค.เป็นฤดูการท่องเที่ยวในช่วงหน้าร้อนของจีนก็ตาม
- รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/2566 ขยายตัว 6.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวติดต่อกันสามไตรมาส และแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.8% โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยชดเชยการฟื้นตัวที่อ่อนแอของภาคบริการ
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันอังคาร หลังจากจีนซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนอาจไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นได้
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.52 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 80.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 84.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ปริมาณการกลั่นน้ำมันจีนในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 17.4% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่โรงกลั่นต่าง ๆ ยังคงรักษาอัตราการกลั่นไว้ในระดับสูงเพื่อรองรับความต้องการเชื้อเพลิงภายในประเทศในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวฤดูร้อน
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ระบุว่า เศรษฐกิจโลกควรเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ท่ามกลางความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน ทั้งในด้านการค้า และภูมิรัฐศาสตร์
- โฆษกคณะผู้แทนจีนประจำสหประชาชาติ (UN) กล่าวว่า จีนคัดค้านแผนการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ เพราะจะยิ่งเสี่ยงต่อการปะทะกันและการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ ที่ระดับ 35.41 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง เล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.39 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.30-35.55 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานผลการประชุมเฟดล่าสุด และมองกรอบเงินบาทในช่วง 35.20-35.70 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้รายงานผลการประชุมเฟดล่าสุด
- สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาภาคเอกชนติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลอย่างใกล้ชิด และเห็นทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสามารถรวบรวมเสียงได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยปัจจุบันมีการรวมเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาล รวม 9 พรรค และคาดว่าจะมีพรรคการเมือง และ สว.ให้การสนับสนุนเพิ่มเติม จนสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากแคนดิเดตพรรคเพื่อไทยได้ โดยหอการค้าไทย มีความมั่นใจว่า ประเทศน่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ได้ในกรอบของ ส.ค.-ก.ย. 66
- ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนได้จับตาสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด เพราะคาดหวังให้การเลือกนายกรัฐมนตรีได้ข้อสรุปโดยเร็วเพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ในเดือน ส.ค.นี้ เพราะ เป็นจุดที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ประเมินและคำนวณความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจไทยที่ อยู่ในจุดที่รับได้และหากล่าช้าออกไปจากนี้ก็หมายถึงความเสียหายต่อเศรษฐกิจที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
- นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการนัดประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรีว่า จะต้องขอดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาคำร้อง มติรัฐสภากรณีเสนอชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีซ้ำได้หรือไม่ วันที่ 16 ส.ค.นี้ ก่อนที่จะนัดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่จะนัดวันที่ 18 ส.ค.หรือวันที่ 22 ส.ค.
- “ไทยบีเอ็มเอ” เผยยอดหุ้นกู้มีปัญหาปัจจุบัน 3.69 หมื่นล้าน ทรงตัวจากช่วงครึ่งปีแรก พบหุ้นกู้ “นอน-อิน เวสต์เมนต์เกรด” ซบเซาต่อเนื่อง นักลงทุนรายใหญ่ชะลอซื้อ เข็ดจากปัญหา “สตาร์ค” จับตาดอกเบี้ยขึ้น หนุนผู้ออกเร่งขาย มีครบ กำหนด 2.8 แสนล้าน ดันทั้งปี ทะลุ 1 ล้านล้าน “ทริสเรทติ้ง” มองภาพใหญ่ไม่มีปัญหา ยังหวั่นโอกาส ยอดออกแผ่วลง เหตุ “นักลงทุน ระมัดระวังดอกเบี้ยขาขึ้น-การเมือง”
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews
Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง