
ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ในวันพุธ โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปเป็นเวลานาน
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -9.52 เหรียญ หรือ -0.49% อยู่ที่ระดับ 1,916.49 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 8.40 เหรียญ หรือ 0.43% ปิดที่ 1,944.20 เหรียญ
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 37.00 เซนต์ หรือ 1.55% ปิดที่ 23.503 เหรียญ
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 18.20 เหรียญ หรือ 1.95% ปิดที่ 915.30 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 3.17 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 886.64 ตันภาพรวมเดือนกันยายน ขายสุทธิ 3.46 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 31.0 ตัน
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.11 จุด หรือ 0.11% มาอยู่ที่ระดับ 104.86 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.02 % มาอยู่ที่ระดับ 4.28% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.06 % มาอยู่ที่ระดับ 5.025% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.75% อยู่ในภาวะ inverted yield curve
- รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นส่งสัญญาณว่า รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อสกัดการอ่อนค่าของเงินเยน หลังจากเงินเยนร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์
- นักลงทุนให้น้ำหนัก 48.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 1 พ.ย. และให้น้ำหนัก 93% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19-20 ก.ย.นี้
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งทำให้ตลาดกังวลว่าสหรัฐยังคงเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตรึงดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปอีกเป็นเวลานานขึ้น
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,443.19 จุด ลดลง 198.78 จุด หรือ -0.57%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,465.48 จุด ลดลง 31.35 จุด หรือ -0.70%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,872.47 จุด ลดลง 148.48 จุด หรือ -1.06%
- นักวิเคราะห์จากบริษัท FXTM กล่าวว่า ดัชนีภาคบริการที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐทำให้ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และอาจทำให้เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปเป็นเวลานานทั้งนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 54.5 ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 52.5 จากระดับ 52.7 ในเดือนก.ค. โดยดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
- นางคริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า รอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจนี้มีขนาดใหญ่และไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ โดยในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่นั้นมีเพียงสหรัฐที่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซนยังต่ำกว่าศักยภาพประมาณ 2% ขณะที่เศรษฐกิจจีนและตลาดเกิดใหม่กับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ยังต่ำกว่าศักยภาพอยู่ประมาณ 5% โดยกลุ่มประเทศรายได้ต่ำได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ
- กรรมการผู้จัดการและหัวหน้ากลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศของฟิทช์ กล่าวว่า ฟิทช์คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อยในปีนี้ และคาดว่าเศรษฐกิจยุโรปจะขยายตัวต่ำกว่าแนวโน้ม ขณะที่เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงเผชิญกับความยากลำบากจากปัญหาเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อของประเทศส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้จะยังคงสูงกว่าเป้าหมายไปจนถึงปี 2567
- ยอดค้าปลีกในยูโรโซนลดลง 0.2% ในเดือนก.ค.จากเดือนมิ.ย. และลดลง 1.0% เมื่อเทียบรายปี โดยยอดค้าปลีกลดลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันแล้วเมื่อเทียบรายปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน และลดลง 1.2% เมื่อเทียบรายปี
- นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนเลย์กลับมามีท่าที "มีแนวโน้มว่าจะลดลง" สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนของตลาดเกิดใหม่ โดยคาดว่าปัญหาเศรษฐกิจของจีนจะยังคงทำให้ค่าเงินหยวนร่วงลงต่อไป และระบุว่า มีประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศมากขึ้นที่กำลังจะลดอัตราดอกเบี้ย
- หุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของจีนพุ่งขึ้นในช่วงเช้านี้ โดยดัชนี Bloomberg Intelligence ซึ่งติดตามหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของจีนพุ่งขึ้นถึง 7.8% แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ ขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่า รัฐบาลจีนจะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกำลังอ่อนแอลงในขณะนี้ หุ้นซูแนค ไชน่า โฮลดิ้งส์ (Sunac China Holdings) ทะยานขึ้นแข็งแกร่งถึง 65% ขณะที่หุ้นไชน่า เอเวอร์แกรนด์ พุ่งขึ้น 36%
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ ขานรับการคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวลดลง รวมทั้งข่าวรัสเซียและซาอุดีอาระเบียประกาศขยายเวลาปรับลดอุปทานน้ำมันจนถึงสิ้นปีนี้
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 85 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 87.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. 2565
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 56 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 90.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. 2565
- ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ กล่าว่ามีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของด้านอัตราเงินเฟ้อ ยังคงเน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญในขณะนี้คือต้องจับตาดูในระยะยาวว่าราคาน้ำมันยังคงลดลงต่อไปได้หรือไม่ เนื่องจากการลดอุปทานน้ำมันของซาอุดีอาระเบียและรัสเซียจึงมีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อจะไม่ลดลง
- หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ที่ Saxo Bank กล่าวว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกำลังเร่งความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯต้องรักษาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นต่อไปอีกนาน
- ธนาคารกิจการเศรษฐกิจต่างประเทศ หรือ VEB ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐบาลรัสเซียเปิดเผยว่า การส่งออกก๊าซธรรมชาติทางท่อส่งของรัสเซียไปยังสหภาพยุโรป (EU) อาจลดลงสู่ 2.1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าปีที่แล้วเกือบ 2 ใน 3 และลดลงมากกว่า 6 เท่าจากปี 2564
- สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ONGC บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอันดับ 1 ของอินเดีย เปิดเผยว่า การที่อินเดียนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียถือเป็นสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์กันทุกฝ่ายสำหรับเศรษฐกิจโลก
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐเดินทางถึงกรุงเคียฟเมืองหลวงของประเทศยูเครน เพื่อส่งสัญญาณว่าสหรัฐจะสนับสนุนยูเครนต่อไป ขณะที่กองทัพยูเครนยังคงหาทางบุกโต้กลับฝ่ายรัสเซีย
- นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศจีนกล่าวว่า ประเทศมหาอำนาจจะต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและป้องกันไม่ให้เกิด “สงครามเย็นครั้งใหม่”
- สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายกรัฐมนตรีจีนเตรียมเดินทางสำรวจโครงการรถไฟความเร็วสูงในอินโดนีเซียที่ได้รับเงินสนุนจากจีน ขณะที่ทางญี่ปุ่นเน้นย้ำความตั้งใจที่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี ทั้งนี้ 2 ประเทศมหาอำนาจของเอเชียได้แข่งขันกันเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านโครงสร้างพื้นฐานแก่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค โดยชาวญี่ปุ่นต่างผิดหวังเมื่อต้องพ่ายแพ้ให้กับจีนสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.50-35.70 บาทต่อดอลลาร์
- ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวถึงทิศทางนโยบายการเงินว่า ขณะนี้มาถึงจุดเปลี่ยนจากการดูแลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างไม่สะดุด (Smooth take off) มาเป็นมุ่งเน้นดูแลเศรษฐกิจโดยรวมให้สอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อ (กรอบ 1-3%) และศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว (GDP โตระดับ 3-4%) ซึ่งมองว่ามีแนวโน้มเข้าใกล้จุดสมดุล (neutral) แล้ว
- นักวิเคราะห์ของฟิทช์ เรทติ้งส์ เตือนว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และคาดว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรัฐบาลชุดใหม่ของไทยอาจจะส่งผลให้หนี้สินของรัฐบาลเพิ่มขึ้น
- กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายธนาคารเอเชีย-แปซิฟิกของฟิทช์ กล่าวว่า แนวโน้มของภาคธนาคารในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญขาลง แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ฟิทช์ยังคงให้แนวโน้มความน่าเชื่อถือของธนาคารไทยทุกแห่งมีเสถียรภาพ โดยคาดว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของไทยในอีก 2 ปีข้างหน้าจะเอื้ออำนวยต่อความสามารถในการทำกำไรและการระดมทุนของธนาคารต่าง ๆ แม้ยังมีความเสี่ยงในเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ก็ตาม นอกจากนี้ คาดว่าธนาคารขนาดใหญ่ของไทยมีโอกาสในการเติบโตในธุรกิจนอกภาคธนาคาร (non-bank) ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
- นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำให้ได้ภายในวันที่ 1 ก.พ.67 ซึ่งขณะนี้ทำงานเต็มที่อยู่แล้ว และประสานกับหน่วยงานราชการทุกหน่วยงาน เพื่อให้สามารถออกมาได้โดยเร็ว
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews
Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง
.jpg)