ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวลดลง หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อชะลอตัวลงในไตรมาส 4/2566
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 6.71 เหรียญ หรือ 0.33% อยู่ที่ระดับ 2,020.94 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.80 เหรียญ หรือ 0.09% ปิดที่ 2,017.80 เหรียญ
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 3.80 เซนต์ หรือ 0.17% ปิดที่ 22.927 เหรียญ
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 20.40 เหรียญ หรือ 2.23% ปิดที่ 894.50 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 858.93 ตันภาพรวมเดือนมกราคม ขายสุทธิ 20.18 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 20.18 ตัน
- ตลาดทองคำยังได้ปัจจัยบวกจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 25,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 200,000 ราย
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.16 จุด หรือ 0.15% มาอยู่ที่ระดับ 103.52 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง -0.06 % มาอยู่ที่ระดับ 4.12% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.09 % มาอยู่ที่ระดับ 4.297% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.18% อยู่ในภาวะ inverted yield curve
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี โดยตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 4/2566 อย่างไรก็ดี การร่วงลงอย่างหนักของหุ้นเทสลาส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ลดช่วงบวก
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,049.13 จุด เพิ่มขึ้น 242.74 จุด หรือ +0.64%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,894.16 จุด เพิ่มขึ้น 25.61 จุด หรือ +0.53%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,510.50 จุด เพิ่มขึ้น 28.58 จุด หรือ +0.18%
- การพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดตลอดกาลของตลาดหุ้นสหรัฐกำลังทำให้เกิดความสนใจมูลค่าหุ้นสหรัฐที่สูงกว่าหุ้นทั่วโลกอย่างมาก จึงทำให้นักลงทุนบางส่วนหันไปหาต่างประเทศเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยดัชนี S&P 500 พุ่งสูงกว่าดัชนีในภูมิภาคส่วนใหญ่ในปีที่แล้วด้วยการพุ่งขึ้น 24% ซึ่งพุ่งขึ้นต่อเนื่องจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของสหรัฐ และพุ่งกว่า 2% แล้วในปีนี้ แซงหน้าหลายตลาด หลังจากที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีในสัปดาห์ที่แล้ว
- หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของจีนพุ่งทะยานขึ้น หลังธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศมาตรการต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นสภาพคล่องให้กับกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 4/2566 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.0% แต่การที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงในไตรมาสดังกล่าวนั้นทำให้ตลาดมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานาน
- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า โครงการระดมทุนสำหรับธนาคาร (Bank Term Funding Program : BTFP) จะหมดอายุตามกำหนดในวันที่ 11 มี.ค.นี้ ทั้งนี้ เฟดเปิดตัวโครงการ BTFP เพื่อให้เงินกู้ยืมฉุกเฉินแก่ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ โดยได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีคลังภายใต้ “สถานการณ์ผิดปกติและเร่งด่วน” อย่างไรก็ดี การยุติโครงการดังกล่าวถือเป็นสัญญาณว่าความตื่นตระหนกในภาคธนาคารได้คลี่คลายลงแล้ว
- จีนเปิดเผยว่า จะขยายประโยชน์การใช้สำหรับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ของธนาคารต่างๆ ซึ่งนับเป็นความพยายามล่าสุดที่จะบรรเทาภาวะสภาพคล่องตึงตัวที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหากำลังประสบอยู่
- บริษัทสหรัฐมองว่าการลงทุนด้านซัพพลายเชนในจีนนั้นเป็นเรื่องเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้อินเดียมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ กำลังพิจารณาหาสถานที่อื่น ๆ ในการทำธุรกิจ
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- รัสเซียกล่าวว่า ยูเครนจงใจยิงเครื่องบินขนส่งของกองทัพรัสเซียที่บรรทุกทหารยูเครนที่เป็นเชลยศึก 65 นาย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 74 ราย โดยรัสเซียเรียกว่าเป็นการก่อการร้ายอันป่าเถื่อน
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 4/2566 นอกจากนี้ สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางยังเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 2.27 ดอลลาร์ หรือ 3.02% ปิดที่ 77.36 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 2.39 ดอลลาร์ หรือ 2.99% ปิดที่ 82.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
- นักวิเคราะห์จากบริษัท Mizuho กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังสหรัฐเปิดเผย GDP ไตรมาส 4/2566 ขยายตัว 3.3% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.0% ซึ่งทำให้ตลาดมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มอุปสงค์พลังงาน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังพุ่งขึ้นจากการคาดการณ์ที่ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกลางจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
- ผู้นำกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนประกาศเมื่อวานนี้ว่า ฮูตีจะเดินหน้าโจมตีเรือบรรทุกสินค้าทุกลำที่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล จนกว่าความช่วยเหลือจากนานาประเทศจะเข้าถึงประชาชนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา นอกจากนี้ การที่กองทัพยูเครนได้ส่งโดรนโจมตีโรงงานน้ำมันของรัสเซียยังส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันในตลาดโลก
- นักวิเคราะห์จากบริษัท Again Capital LLC กล่าวว่า ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวและจะช่วยหนุนความต้องการใช้น้ำมัน หลังจากธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) 0.50% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 ก.พ. ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินในระยะยาวไหลเข้าสู่ระบบจำนวน 1 ล้านล้านหยวน (1.39 แสนล้านดอลลาร์)
- เคปเลอร์ (Kpler) บ่งชี้ว่า การที่รัสเซียปรับลดราคาน้ำมันลงอย่างมาก ส่งผลให้เอเชียและแอฟริกานำเข้าน้ำมันของรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างมาก และการนำเข้าน้ำมันดิบโดยรวมของสองทวีปดังกล่าวนั้นพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2566
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ เปิดตลาด ที่ระดับ 35.75 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.70 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.65-35.85 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ และประเมินกรอบเงินบาท 35.55-35.95 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ
- JP Morgan คาด GDP ไทยโต 3.7% ขยายตัวชนะการเติบโตของค่าเฉลี่ยโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี อานิสงส์ท่องเที่ยวพุ่ง ต่างชาติขนเงินลงทุน และการบริโภคภายในประเทศฟื้น เชื่อแบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดหากเงินเฟ้อเริ่มย่อตัว พร้อมคาดดัชนี SET ปีนี้ 1,700 จุด
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ประเมินสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยสิ้นปี 67 จะอยู่ที่ 91.4% หรือราว 16.9 ล้านล้านบาท โดยสถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังน่าเป็นห่วง ทั้งในมิติของปริมาณการก่อหนี้ที่ไม่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเร็ว คุณภาพหนี้มีแนวโน้มด้อยลง ขณะที่ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังมีอุปสรรคจากการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews
Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง