• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2567

    17 ตุลาคม 2567 | Gold News


ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ โดยได้ปัจจัยบวกจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากนี้ ราคาทองยังได้แรงหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ รวมทั้งได้รับอิทธิพลจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินทั้งในเดือนพ.ย.และธ.ค.


  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 12.32 เหรียญ หรือ 0.46% อยู่ที่ระดับ 2,674.6 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 12.40 เหรียญ หรือ 0.46% ปิดที่ 2,691.30 เหรียญ
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 21.8 เซนต์ หรือ 0.69% ปิดที่ 31.974 เหรียญ
  • สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 6 เหรียญ หรือ 0.60% ปิดที่ 1,002.60 เหรียญ


  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 884.59 ตันภาพรวมเดือนตุลาคม ซื้อสุทธิ 12.65 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 5.48 ตัน


  • ซีอีโอของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (HKSAR) กล่าวสุนทรพจน์เชิงนโยบายครั้งที่ 3 เมื่อวันพุธว่า ฮ่องกงจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งด้านการนำเข้าและส่งออกทองคำเพื่อสร้างตัวเองให้เป็นศูนย์กลางการซื้อขายทองคำระดับนานาชาติ โดยเสริมว่าฮ่องกงเป็นตลาดนำเข้าและส่งออกทองคำรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยวัดจากปริมาณการนำเข้าและส่งออก และความซับซ้อนของภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันเน้นย้ำถึงความได้เปรียบของฮ่องกงในด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพ 


ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง


  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.3 จุด หรือ 0.29% มาอยู่ที่ระดับ 103.55 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี  ปรับตัวลดลง -0.02 % มาอยู่ที่ระดับ 4.018% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.01 % มาอยู่ที่ระดับ 3.942% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี มากกว่า 2 ปี เท่ากับ0.08%


  • FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 96.3% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเดือนพ.ย. รวมทั้งให้น้ำหนัก 87.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.


  • ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ระบุเมื่อวันพุธว่าคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุด (bps) ติดต่อกันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงเดือนมิถุนายน 2568 โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3.25-3.5%


  • โกลด์แมน แซคส์ ยังระบุว่าคาดว่าธนาคารกลางยุโรปจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps ในการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารในวันพฤหัสบดีนี้ และระบุว่าเห็นการลดลงตามลำดับ 25 bps จนกว่าอัตราดอกเบี้ยจะถึง 2% ในเดือนมิถุนายน 2568


  • สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าแตะกรอบบนของระดับ 148 เยน ในการซื้อขายที่ตลาดโตเกียวเมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเงินเยน หลังเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แสดงความเห็นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยควรดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป


  • สมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่า BOJ ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป


  • กลุ่มธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของจีนเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกว่า 300 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 42.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยคาดว่าจะเริ่มภายในสัปดาห์นี้


  • เงินเฟ้อของสหราชอาณาจักร (UK) ชะลอตัวสู่ระดับต่ำกว่าเป้า 2% ที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) กำหนดไว้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี และยิ่งเพิ่มแนวโน้มที่ว่าอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนหน้า


ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ


  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพุธ โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มการเงิน และการปรับตัวขึ้นของหุ้นขนาดเล็ก แม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ปรับตัวลงก็ตาม


  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,077.70 จุด เพิ่มขึ้น 337.28 จุด หรือ +0.79%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,842.47 จุด เพิ่มขึ้น 27.21 จุด หรือ +0.47%
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,367.08 จุด เพิ่มขึ้น 51.49 จุด หรือ +0.28%


  • Goldman Sachs ปรับเพิ่มประมาณการตัวเลขเป้าหมายการเติบโตแท้จริงของเศรษฐกิจจีน (Real GDP Growth) ในปี 2024 เป็น 4.9% จากเดิม 4.7% แม้ว่าจะยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ 5%


  • เจพี มอร์แกน แอสเซ็ท แมเนจเมนต์มองเห็นโอกาสดีที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวอย่างนุ่มนวล โดยคาดว่า การลดอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปจะเป็นทฤษฎีการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยความท้าทายต่างๆที่เฟดกำลังเผชิญอยู่นั้นได้แก่การจัดการกับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นต่อห่วงโซ่อุปทาน และเงินเฟ้อ


ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน


  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักกว่า 4% เมื่อวันอังคาร เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันจะเติบโตช้าลง ขณะที่ตลาดคลายความกังวลว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน หลังสื่อรายงานว่าอิสราเอลไม่มีแผนโจมตีแหล่งน้ำมันของอิหร่าน


  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 19 เซนต์ หรือ 0.27% ปิดที่ 70.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3 เซนต์ หรือ 0.04% ปิดที่ 74.22 ดอลลาร์/บาร์เรล


  • กรรมาธิการพลังงานของสหภาพยุโรป (EU) ประกาศว่า EU พร้อมรับมือกับความเป็นไปได้ที่จะไม่มีก๊าซจากรัสเซียไหลผ่านยูเครน เมื่อสัญญาการขนส่งในปัจจุบันสิ้นสุดลงสิ้นปีนี้


ข่าวเกี่ยวกับการเมือง

 

  • อิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในเขตชานเมืองทางตอนใต้ของกรุงเบรุต โดยการโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่สหรัฐอเมริกาแสดงท่าทีคัดค้านที่อิสราเอลโจมตีทางอากาศอย่างรุนแรงในกรุงเบรุตก่อนหน้านี้ ขณะที่มีความกังวลว่าความขัดแย้งอาจลุกลามบานปลายไปถึงอิหร่าน                                                                              


ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท


  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.20 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.18 บาทต่อดอลลาร์  มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.40 บาทต่อดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)


  • ผลการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวานนี้ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที


  • รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ตนอยากเห็นการปรับลดดอกเบี้ยปีนี้รวม 0.50% โดยครั้งนี้ 0.25% และครั้งถัดไปอีก 0.25% เพราะในขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังแย่อยู่ แต่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังจะดีขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 น่าจะโตขึ้น 3-4% ทำให้ทั้งปี GDP น่าจะโตได้ประมาณ 2.7% ซึ่งจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้าด้วย และหากค่าเงินบาทอ่อนลงจะมีส่วนช่วยทั้งภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งอยู่ในระดับ 70-80% ของ GDP ด้วย รวมถึงช่วยเรื่องการลงทุนด้วย


  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2567 หนี้ครัวเรือนไทยอาจเติบโตต่ำกว่า 1.0% เนื่องจากเศรษฐกิจในภาพรวมยังมีสัญญาณฟื้นตัวช้าซึ่งเป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือน และความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหม่ ส่งผลให้ปรับประมาณการสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปี 2567 ลงมาที่กรอบ 88.5-89.5% ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนไตรมาส 2/2567 โตเพียง 1.3% ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2546






ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews

Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com