• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567

    8 พฤศจิกายน 2567 | Gold News


ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี โดยราคาทองฟื้นตัวหลังจากที่ดิ่งลงอย่างหนักในวันพุธ ขณะที่นักลงทุนรอผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยตลาดทองคำนิวยอร์กปิดทำการซื้อขายก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุม


  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 42.0 เหรียญ หรือ 1.58% อยู่ที่ระดับ 2,700.0 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 29.50 ดอลลาร์ หรือ 1.1% ปิดที่ 2,705.80 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 52.40 เซนต์ หรือ 1.67% ปิดที่ 31.855 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 6.30 ดอลลาร์ หรือ 0.63% ปิดที่ 999.10 ดอลลาร์/ออนซ์


  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 2.88 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 880.58 ตันภาพรวมเดือนพฤศจิกายน ขายสุทธิ 11.21 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 1.47 ตัน


ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง


  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -0.7 จุด หรือ -0.67% มาอยู่ที่ระดับ 104.44 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี  ปรับตัวลดลง -0.07 % มาอยู่ที่ระดับ 4.353% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.05 % มาอยู่ที่ระดับ 4.212% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี มากกว่า 2 ปี เท่ากับ0.14%


  • คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปีนี้ หลังจากที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมเดือนก.ย.


  • เฟดระบุในแถลงการณ์ว่า เงินเฟ้อของสหรัฐฯ มีความคืบหน้าในการปรับตัวสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ส่วนเศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และตลาดแรงงานชะลอตัวลง


  • คำกล่าวของเพาวเวลล์ ระบุว่า เรื่องนโยบายของทรัมป์ เฟดมีโมเดลสำหรับพยากรณ์ตัวเลขต่างๆ แต่ตอนนี้เราไม่มีตัวเลขอะไรที่ชัดเจนเลย เพราะ นโยบายยังไม่ได้ประกาศออกมา ยังไม่ได้เจรจาต่อรอง และยังไม่ได้ผ่านเป็นกฏหมาย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้กินเวลาพอสมควร และเฟดยังไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เลย เพราะยังไม่รู้เลยจริงๆว่าสุดท้ายแล้ว มาตรการต่างๆจะออกมาที่ตัวเลขเท่าไหร่กันแน่


  • นอกจากนี้เฟด ยังสนใจไปที่ ผลกระทบสุทธิ ของมาตรการต่างๆ เพราะ นโยบายการขึ้นภาษีอาจทำให้เงินเฟ้อขึ้น แต่นโยบายอื่นๆอาจทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลงก็ได้ ดังนั้นเฟดต้องสนใจผลกระทบของนโยบายต่างๆในภาพรวมมากกว่าแค่นโยบายใดนโยบายหนึ่ง


  • ถ้าประธานาธิบดีคนใหม่บอกให้ลาออก พาเวลล์จะลาออกไหม คำตอบสั้นคือไม่และประธานาธิบดีไม่มีอำนาจในการไล่ออกและไม่บอกว่าปีหน้าจะไม่มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย เพราะมันเป็นเรื่องที่ไกลมากๆ แต่การขึ้นดอกเบี้ยยังไม่ได้อยู่ในแผนของเฟดในตอนนี้


  • ข้อมูลจากแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า ขณะนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค.


  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ มีมติด้วยคะแนนเสียง 8-1 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.75% ในการประชุมวันนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์


ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ


  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี ส่วนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ตามคาด


  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,729.34 จุด ลดลง 0.59 จุด หรือ -0.001%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,973.10 จุด เพิ่มขึ้น 44.06 จุด หรือ +0.74% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,269.46 จุด เพิ่มขึ้น 285.99 จุด หรือ +1.51%


  • ทั้งนี้ การที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เป็นปัจจัยหนุนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮต่อเนื่องจากเมื่อวันพุธ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่ารัฐบาลของทรัมป์จะเร่งดำเนินนโยบายต่าง ๆ ตามที่ได้หาเสียงไว้ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงิน


  • อย่างไรก็ดี การร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะหุ้นโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) และเจพีมอร์แกน (JPMorgan) เป็นปัจจัยฉุดดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบ


  • ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังจับตาว่าสิ่งที่ธนาคารกลางเคยวิตกกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับโดนัลด์ ทรัมป์ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หลังจากที่ทรัมป์คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าทั่วโลก รวมทั้งให้คำมั่นว่าจะปรับลดภาษี ซึ่งจะส่งผลให้งบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อยู่ในภาวะตึงตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ทรัมป์ยังให้คำมั่นเรื่องการเนรเทศผู้อพยพ ซึ่งอาจจะส่งผลให้แรงงานค่าจ้างต่ำมีจำนวนลดลง


  • สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) เปิดเผยว่า ยอดส่งออกของจีนขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาดในเดือนต.ค. โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์ในต่างประเทศและการผลิตภายในประเทศ ขณะที่ยอดนำเข้าร่วงลง ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอลง


ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน


  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี ขานรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินว่านโยบายต่าง ๆ ของโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลต่ออุปทานน้ำมันอย่างไร
 
  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.93% ปิดที่ 72.36 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ หรือ 0.95% ปิดที่ 75.63 ดอลลาร์/บาร์เรล


  • ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น หลังจากคณะกรรมการเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปีนี้ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน
 
  • ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนหลังจากสำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (BSEE) รายงานว่า การผลิตน้ำมันในเขตกัลฟ์โคสต์ของสหรัฐฯ กว่า 22% หรือประมาณ 391,214 บาร์เรล/วันได้ถูกระงับ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนราฟาเอล (Rafael)

 

  • นักลงทุนกำลังประเมินว่านโยบายต่าง ๆ ของทรัมป์จะส่งผลต่ออุปทานน้ำมันอย่างไร โดยแอนดรูว์ ลิโพว์ ประธานบริษัท Lipow Oil Associates แสดงความเห็นว่า คณะรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของทรัมป์อาจจะใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เข้มงวดต่ออิหร่านและเวเนซุเอลา ซึ่งจะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดปรับตัวลดลง โดยขณะนี้ตลาดกำลังประเมินว่านโยบายของทรัมป์จะออกมาเช่นไร

 

  • ด้านนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) คาดการณ์ว่า การที่ทรัมป์กลับมาครองอำนาจในทำเนียบขาวเป็นสมัยที่สองอาจกดดันราคาน้ำมันไปจนถึงปี 2568 โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาษีการค้าและการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมัน โดยนโยบายของทรัมป์อาจสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุนด้านการสำรวจและการผลิต และอาจยกเลิกการเพิ่มค่าภาคหลวงหรือค่าสัมปทานที่ใช้ในรัฐบาลของโจ ไบเดน

 

  • ซิตี้กรุ๊ประบุว่า อิทธิพลของทรัมป์ต่อกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส อาจส่งผลให้โอเปกพลัสทยอยยกเลิกการปรับลดการผลิตน้ำมันเร็วขึ้น และคาดว่านโยบายของทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในยุโรปและจีนที่เสี่ยงเผชิญกับภาษีการค้า ซึ่งอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกลดลง

  • การนำเข้าน้ำมันของจีนลดลงอีกครั้งในเดือนต.ค. แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ลดลงในประเทศผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก ขณะเดียวกัน บรรดาเทรดเดอร์กำลังประเมินผลกระทบจากชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ที่กลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) จะเพิ่มกำลังการผลิต

ข่าวเกี่ยวกับการเมือง

 

  • โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่าจีนยินดีที่จะยกระดับการติดต่อสื่อสารกับสหรัฐฯ ขยายความร่วมมือ และแก้ไขความแตกต่างบนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายพร้อมตอบคำถามเกี่ยวกับมุมมองของจีนและมาตรการตอบโต้ภาษีศุลกากรที่อาจจะเพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ และข้อจำกัดต่าง ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูง

 

  • ทำเนียบขาววางแผนส่งเงินช่วยเหลือด้านความมั่นคงมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่ยูเครนก่อนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ จะหมดวาระในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นความพยายามที่จะให้การสนับสนุนรัฐบาลยูเครนก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค.

 

  • ฝูงบินขับไล่ F-15 ของสหรัฐฯ เดินทางถึงตะวันออกกลางแล้วเมื่อวานนี้ จากการเปิดเผยของกองทัพอเมริกา หลังวอชิงตันแถลงส่งทรัพย์สินทางทหารเพิ่มเติมเข้าไปประจำการในภูมิภาคแห่งนี้เพิ่มเติม เพื่อส่งสัญญาณเตือนถึงอิหร่าน

 

  • สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ชาวอิหร่านต่างหวั่นเกรงว่า โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด เขาอาจจะใช้นโยบายที่กดดันต่ออิหร่านมากขึ้น โดยใช้มาตรการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันอิหร่าน และให้อิสราเอลมีอำนาจโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ และ 'ลอบสังหารเป้าหมาย' มากขึ้นกว่าเดิม

ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท

 

  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.02 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.28 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.95-34.20 บาทต่อดอลลาร์

 

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนจากความไม่แน่นอนเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยหลังจากที่นาย Donald Trump ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้นตามการคาดการณ์แนวนโยบายในระยะถัดไป ส่งผลให้เงินบาทปรับอ่อนค่าลงสอดคล้องกับภูมิภาคมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 34.20 บาท

 

  • ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ประเมินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 จะเกิดผลกระทบต่อสังคมโลกใน 4 ด้าน ได้แก่ 1.การค้า 2.การลงทุน 3.นโยบายสีเขียว และ 4.การเมืองโลก ซึ่งโดยรวมนโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนต่อทิศทางการค้าการลงทุนโลกในหลายด้าน ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมพร้อมรับมืออย่างทันท่วงที

 

 

ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews

Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com