• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 10 เมษายน 2568

    10 เมษายน 2568 | Gold News


ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 3% ในวันพุธ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก


  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 98.57 เหรียญ หรือ 3.3% อยู่ที่ระดับ 3,081.3 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 89.20 ดอลลาร์ หรือ 2.98% ปิดที่ 3,079.40 ดอลลาร์/ออนซ์
  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าซื้อเข้า 11.17 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 937.09 ตันภาพรวมเดือนเมษายน ซื้อสุทธิ 3.71 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 64.57 ตัน


  • นักลงทุนแห่ซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะทวีความรุนแรง อีกทั้งกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นและขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ


  • สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกในไตรมาส 1/2568 มีมูลค่าสูงสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส เนื่องจากนักลงทุนที่ต้องการแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยจากความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมืองนั้น ได้พากันเข้ามาลงทุนในกองทุน ETF ทองคำอย่างคึกคักในไตรมาส 1 โดยกองทุนดังกล่าวเป็นที่เก็บทองคำแท่งสำหรับนักลงทุน


  • ข้อมูลจาก WGC ระบุว่า กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกมีปริมาณทองคำไหลเข้าจำนวน 226.5 เมตริกตันในไตรมาส 1 คิดเป็นมูลค่า 2.11 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นปริมาณมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2565 อันเป็นช่วงเวลาที่ตลาดทั่วโลกเผชิญกับผลกระทบจากการที่รัสเซียใช้กำลังทหารบุกยูเครน


  • ปริมาณทองคำที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้การถือครองทองคำโดยรวมของกองทุน ETF ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3% สู่ระดับ 3,445.3 ตัน ณ สิ้นเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นปริมาณมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2566 ส่วนสถิติสูงสุดที่เคยทำไว้คือ 3,915 ตันในเดือนต.ค. 2563


ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง


  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -0.03 จุด หรือ -0.03% มาอยู่ที่ระดับ 102.72 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี  ปรับตัวลดลง -0.08 % มาอยู่ที่ระดับ 4.275% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.14 % มาอยู่ที่ระดับ 3.864% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี มากกว่า 2 ปี เท่ากับ0.41%


  • ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกเทขายอย่างหนักในวันจันทร์และอังคาร (7-8 เม.ย.) ซึ่งดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีกลับไปยืนเหนือระดับ 4% โดยเฉพาะการแกว่งตัวของผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีในวันจันทร์ที่รุนแรงสุดในรอบ 20 ปี คนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่า การเทขายนี้เกิดจากการถูกบังคับขาย โดยเฉพาะจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ต้องรีบขายสินทรัพย์อย่างพันธบัตรออกมาเพื่อหาเงินไปวางหลักประกันเพิ่ม (margin call) หลังขาดทุนจากสินทรัพย์อื่น ๆ


  • ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 18-19 มี.ค. โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง 


  • ขณะที่เฟดสาขาแอตแลนตาเปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัว 2.4% ในไตรมาส 1/2568 จากก่อนหน้านี้ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจขยายตัว 2.3% ในไตรมาส 1


  • Goldman Sachs ปรับลดโอกาสเศรษฐกิจถดถอยปีหน้าเหลือ 45% จาก 65% หลังทรัมป์ประกาศชะลอการเก็บภาษีนำเข้า 90 วัน การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ เน้นย้ำถึงความยากลำบากในการทำนายแนวโน้มของเศรษฐกิจ ท่ามกลางนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของทรัมป์ นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่าความไม่แน่นอนนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เนื่องจากภาคธุรกิจอาจชะลอการลงทุนและการจ้างงานจนกว่าจะเห็นทิศทางนโยบายที่ชัดเจนในระยะยาว


  • ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 3.5% เมื่อวานนี้ (9 เม.ย.) ซึ่งเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์กันไว้


  • ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยืนยันพร้อมรักษาเสถียรภาพการเงิน หากตลาดเกิดผันผวน อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายของ ECB กล่าวเมื่อวันพุธว่า หลายภาคส่วน รวมถึงกองทุนป้องกันความเสี่ยง ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมรับมือกับความปั่นป่วนล่าสุดนี้ได้ดี


  • ผู้ว่าการธนาคารกลางสเปนกล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะสร้างภาวะชะงักงันด้านอุปทานอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างรวดเร็ว หรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศต่างๆ


ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ


  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันพุธ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เป็นเวลา 90 วัน ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ


  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,608.45 จุด เพิ่มขึ้น 2,962.86 จุด หรือ +7.87%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,456.90 จุด เพิ่มขึ้น 474.13 จุด หรือ +9.52% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,124.97 จุด เพิ่มขึ้น 1,857.06 จุด หรือ +12.16%


  • ปธน.ทรัมป์ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้เป็นเวลา 90 วัน และมีผลบังคับใช้ในทันที โดยปธน.ทรัมป์เปิดเผยถึงสาเหตุของการระงับภาษีดังกล่าวว่า มาจากการที่ประเทศต่าง ๆ มากกว่า 75 ประเทศได้ติดต่อมายังเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เพื่อเจรจาหาทางออกและคลี่คลายความวิตกกังวลด้านการค้า


  • ข่าวดังกล่าวส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563 ขณะที่ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2551 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2544


  • ขณะที่ปริมาณการการซื้อขายในตลาดพุ่งขึ้นอย่างมาก โดยอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านหุ้น ซึ่งเป็นสถิติรายวันที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดวอลล์สตรีท


  • ส่วนดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ร่วงลง 35.75% ปิดที่ระดับ 33.62 เทียบกับระดับ 57.96 ก่อนที่ปธน.ทรัมป์จะประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการภาษี


  • นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนมี.ค.ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณแนวโน้มเงินเฟ้อ รวมทั้งจับตารายงานผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐฯ โดยเจพีมอร์แกน (JPMorgan), มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) และเวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้


  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่นกล่าวต่อรัฐสภาญี่ปุ่นว่า การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อาจรวมถึงการหารือเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วย ซึ่งคาดว่าจะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันภายในเดือนนี้


  • ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะขยายตัวเพียง 4.9% ในปี 2568 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2565 และคาดว่าจะมีการขยายตัว 4.7% ในปี 2569 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนด้านการค้าและการที่สหรัฐอเมริกาปรับขึ้นภาษีศุลกากร


  • เจ้าหน้าที่ของ WTO เปิดเผยว่า ประธานคณะมนตรีใหญ่ของ WTO มีแผนจะจัดการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับคณะผู้แทน เพื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีการให้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับผู้ที่จะเข้าร่วมการประชุม

ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน


  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 4% ในวันพุธ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ให้กับประเทศต่าง ๆ เป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นจีน


  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 2.77 ดอลลาร์ หรือ 4.65% ปิดที่ 62.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 2.66 ดอลลาร์ หรือ 4.23% ปิดที่ 65.48 ดอลลาร์/บาร์เรล


  • สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล


  • ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 3.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 260,000 บาร์เรล


  • นอกจากนี้มีรายงานว่า ผู้ดำเนินการระบบท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน (Keystone) ในแคนาดาและสหรัฐฯ ได้ประกาศภาวะสุดวิสัย (Force Majeure) ในวันพุธที่ 9 เม.ย. หลังเกิดน้ำมันรั่วไหลใกล้กับเมืองฟอร์ตแรนซอม รัฐนอร์ทดาโกตา โดยท่อส่งน้ำมันแห่งนี้ถูกปิดดำเนินการแล้วเมื่อวันอังคารที่ 8 เม.ย.


  • ทั้งนี้ ภาวะสุดวิสัยเป็นส่วนหนึ่งที่ระบุในสัญญาซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ข้อพิพาทด้านแรงงาน การประท้วง การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ


ข่าวเกี่ยวกับการเมือง


  • ปธน.ทรัมป์ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ให้กับประเทศต่าง ๆ เป็นเวลา 90 วัน และมีผลบังคับใช้ในทันที แต่เขาประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 125% จากเดิม 104% โดยมีผลบังคับใช้ในทันที เพื่อตอบโต้จีนที่เพิ่มการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 84% จากเดิม 34% โดยมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีที่ 10 เม.ย.


  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวเมื่อวันพุธว่า การกลับลำนโยบายล่าสุดนี้ถือเป็นชัยชนะของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ทรัมป์"สร้างอำนาจต่อรองสูงสุดให้กับตนเอง" ในการเจรจากับประเทศต่างๆ พร้อมเสริมว่า จะหารือกับเจ้าหน้าที่จากเวียดนาม ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และได้กล่าวว่า นี่คือกลยุทธ์ที่วางไว้ตั้งแต่ต้น


  • กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศว่า จีนมีความมุ่งมั่นตั้งใจและมีวิธีการมากมายที่จะใช้ตอบโต้และต่อสู้จนถึงที่สุด หากสหรัฐอเมริกายังคงยืนกรานที่จะยกระดับมาตรการจำกัดทางเศรษฐกิจและการค้า


  • คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ โดยกล่าวว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับที่รุนแรงขึ้น


  • ประธานคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของรัฐสภายุโรป กล่าวว่า สหภาพยุโรป (EU) จะขยายความร่วมมือมากขึ้นกับกลุ่มพันธมิตร ไม่เพียงแต่กับจีน แต่จะร่วมมือกับอีกหลายประเทศ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งต่างก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐ เพื่อให้เราสามารถสร้างเสถียรภาพต่อองค์การการค้าที่อิงอยู่บนกฎระเบียบและองค์การการค้าโลก (WTO)


  • ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน เปิดเผยว่า กองกำลังยูเครนได้จับกุมพลเมืองจีน 2 คน ที่เข้าร่วมสู้รบในฝั่งกองทัพรัสเซีย ระหว่างสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า ปูตินไม่มีความตั้งใจที่จะยุติสงครามเลย


ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท


  • ค่าเงินบาทวันนี้เปิดตลาดแข็งค่าที่ 34.15 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 34.57 บาทต่อดอลลาร์ โดยกรอบแนวรับที่ 34.00 บาท แนวต้าน 34.50 บาท


  • รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีการเดินทางไปเจรจากับสหรัฐฯว่า ขณะนี้ข้อมูลในหลักการเบื้องต้นพร้อมหมดแล้ว โดยจะเดินทางไปเจรจาในเวลาที่เหมาะสม เพื่อทำให้การเจรจาเกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย แม้การเจรจาจะเป็นแค่กรอบ แต่จะเป็นกรอบที่เห็นร่วมกันว่าเป็นการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติร่วมกันได้อย่างแน่นอน


  • วิจัยกรุงศรี ระบุว่า การถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงเกินคาดที่ 36% อาจส่งผลให้การส่งออกไทยปีนี้ไม่เติบโต โดยในระยะสั้น มาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ อาจทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลงอย่างมาก และเฉลี่ยทั้งปี 2568 อาจเติบโตใกล้ 0% หากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาลดภาษี

 



ที่มาจาก : yahoo finance, Reuters, kitco news, investing, Infoquest

Tags : ข่าวทองข่าวทอง ทอง ราคาทอง

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com