ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ซบเซาในช่วงสิ้นปี โดยยังมีคาดการณ์แนวโน้มเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2016 หลังจากข้อมูลภาคแรงงานยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง จึงทำให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์หลายฝ่ายเชื่อว่าเฟดจะเพิ่มการคุมเข้มนโยบายการเงินต่อ โดยเช้านี้ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นต่อแถวระดับ98.79
ขณะที่ค่าเงินยูโรเช้านี้อ่อนค่าลงมาที่ระดับ 1.0829 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.0924 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้นมาในเช้านี้ 120.42 เยน/ดอลลาร์
นางลอเร็ตต้า เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาเคฟแลนด์ กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนที่ผ่านมาถือเป็นก้าวแรกในการปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ และเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดมีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
นายแสตนลีย์ ฟิชเชอร์ รองประธานเฟด กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหม่ถือเป็นเครื่องมือที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งผ่อนคลายความกังวลบางส่วนของเจ้าหน้าที่เฟดเกี่ยวกับการดำเนินโยบายที่แตกต่างกันของพวกเขา ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะถูกพิสูจน์ว่าเกิดประสิทธิผลสำหรับการเป็นเครื่องมือในการปรับนโยบายสู่ภาวะปกติในการประชุมครั้งต่อไปในช่วงปลายเดือนนี้
ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ พบว่า ยอดขายบ้านที่รออนุมัติปิดการขายประจำเดือนพฤศจิกายนออกมาแย่แตะระดับ -0.9% ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาของสหรัฐฯขยายตัวเกินคาดอย่างมากโดยปรับตัวสูงขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรลจึงบ่งชี้ถึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่แข็งแกร่งในสหรัฐฯ
ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตประจำเขตชิคาโกขยายตัวต่ำกว่าคาดแตะระดับ 42.9 ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันในรอบ 2 เดือน
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการคนว่างงานรายสัปดาห์ ปรับตัวขึ้น 20,000 ราย สู่ระดับ 287,000 ราย แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 300,000 รายต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 43 จึงยังบ่งชี้ถึงภาวะแข็งแกร่งของตลาดแรงงานถึงแม้ว่าจะมีคนว่างงานเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวจากช่วงวันหยุดยาวเท่านั้น
รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า แม้ตลาดการเงินส่วนใหญ่จะมีความวิตกกังวลว่าในปี 2016 ตลาดหุ้นอาจจะยังได้รับผลกระทบจากความผันผวนในระดับสูง แต่ก็จะเริ่มต้นปี 2016 อย่างสดใสและแข็งแรงในช่วงเริ่มต้นปีในลักษณะของ January Effect หลังจากที่ตลาดหุ้นถูกแรงเทขายในช่วงเดือนธันวาคมหรือสิ้นปีที่ผ่านมาก็จะส่งผลหนุนให้เดือนต่อมานักลงทุนกลับเข้าช้อนซื้อเมื่อดัชนีมีราคาถูกลง
รายงานกิจกรรมภาคโรงงานอุตสาหกรรมของจีนประจำเดือนธันวาคมยังคงอยู่ในระดับหดตัวจึง โดยจะเห็นได้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ออกมาแย่กว่าคาดแต่อยู่ในระดับที่ทรงตัวบริเวณ 49.7 ในเดือนธันวาคม ซึ่งการอยู่ระดับต่ำกว่า 50 ถือเป็นสัญญาณที่ยังหดตัวต่อภาคการผลิต และทำให้นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่ากิจกรรมภาคโรงงานอุตสาหกรรมของจีนที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 มากว่า 5 เดือน อาจส่งผลให้จีนจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2016
ธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตลาดพันธบัตรภายในประเทศ ได้เริ่มต้นพิจารณาตลาดหุ้นเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างการจัดการสินทรัพย์สำหรับกองทุนการลงทุน เพื่อให้กิจกรรมการลงทุนเป็นตัวขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
น้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเกือบ 3.5% ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปรับตัวกว่า 3.5% เช่นเดียวกันในคืนที่ 30 ธ.ค.2015 จากปริมาณสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นสวนกระแสคาดการณ์ที่ว่าจะปรับตัวลดลง โดยปรับเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 487.4 ล้านบาร์เรล จึงยิ่งตอกย้ำเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาด ท่ามกลางอุปสงค์ที่ซบเซา
ขณะที่คืนส่งท้ายปี 31 ธ.ค. น้ำมันดิบ WTI ปิด +1.2% ที่ระดับ 37.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิด +2.25% ที่ระดับ 37.28 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยกลับมาปิดปรับตัวขึ้นจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีอิหร่านสั่งเตรียมพร้อมโครงการขีปนาวุธของประเทศเพื่อตอบโต้การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ หลังสหรัฐฯ ประกาศว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อใช้มาตรการคว่ำบาตรประชาชนและหน่วยงานของอิหร่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาขีปนาวุธ แม้ว่าก่อนหน้านี้อิหร่านมีแผนจะเตรียมเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในปี 2016 หากมีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร
รายงานจากรอยเตอร์สล่าสุดระบุว่า สถานการณ์ความตึงเครียดของซาอุดิอาระเบียและอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้น โดยซาอุดิอาระเบียประกาศยุติความสัมพันธ์กับอิหร่าน เพื่อตอบโต้เหตุประท้วงและการทำลายสถานทูตของซาอุดิอาระเบีย ณ กรุงเตหะราน ของอิหร่านในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่ซาอุดิอาระเบียตัดสินใจประหารชีวิตนักโทษนักโทษกว่า 47 คน โดย 1 ในนั้นเป็นผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์
ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าหากันโดยการเจรจาทางการทูตเพื่อเป็นก้าวแรกในการลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้น