ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิด -0.08% ที่ระดับ 16,014.38 จุด โดยตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบที่ฉุดรั้งให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตาม และแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ระหว่างการซื้อขายตลาดได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพและกลุ่มวัตถุดิบ จึงช่วยลดแรงลบระหว่างวันของตลาด
ตลาดหุ้นยุโรปปิด -1.6% ที่ระดับ 309.39 จุด เพราะได้รับแรงกดดันของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังคงร่วงลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นดอยซ์แบงก์ที่ปรับตัวลง 4.3% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 24 ปี หลังจากที่ธนาคารประสบภาวะขาดทุนกว่า 6.8 พันล้านยูโรในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลกจึงทำให้ปิดตลาดแดนลบติดต่อกัน 7 วันทำการ
ด้านตลาดหุ้นกรีซยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องอีกกว่า 2.5% สู่ระดับ 452.70 จุด หลังจากที่ในช่วงแรกปรับตัวลงแตะ 439.08 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 27 ปี นับตั้งแต่กันยายนปี 1989 เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อโครงการช่วยเหลือทางการเงินครั้งใหม่ของกรีซ
อย่างไรก็ดี รัฐบาลกรีซหวังว่าการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อทบทวนความคืบหน้าของการปฏิรูปจะเริ่มขึ้นครั้งใหม่ในสัปดาห์หน้า และจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนนี้
ด้านตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงต่อในเช้าวันนี้ ท่ามกลางความกังวลต่อการร่วงลงของภาคธนาคาร โดยเฉพาะภาคธนาคารในยุโรป ขณะที่ค่าเงินเยนแข็งค่าต่อเนื่องในฐานะ Safe-Heaven โดยเช้านี้ ดัชนีนิกเกอิเปิด -0.22% แตะระดับ 16,050.54 จุด
สำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า ตลาดหุ้นยังคงทรุดตัวหลังจากที่ปรับตัวลงในช่วงต้นสัปดาห์ จากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตภาคธนาคารในยูโรโซน ขณะที่การผ่อนคลายนโยบายการเงินในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเป็นอุปสรรคต่อผลกำไรของภาคธนาคาร และส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้สิน
สำหรับวันนี้ ตลาดการเงินและภาคธนาคารของจีน ไต้หวัน เวียดนาม ฮ่องกง และเกาหลีใต้ยังปิดให้บริการต่อเนื่องในช่วงเทศกาลตรุษจีน ขณะที่ตลาดหุ้นมาเลเซีย และสิงคโปร์กลับมาเปิดให้บริการตามปกติ
นักบริหารเงิน ประเมินว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.30 – 35.50 บาท/ดอลลาร์ โดยเมื่อวานนี้ปรับลงไปทดสอบ35.36 บาท/ดอลลาร์ จึงคาดว่าน่าจะมีโอกาสแข็งค่าต่อ
กกร. ประเมินภาวะเศรษฐกิจภาพรวมของไทยในปี 2559 ว่าจากการที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจกดดันการฟื้นตัวภาคส่งออก และราคาสินค้าเกษตร ประกอบกับภัยแล้งที่จะกระทบต่อการฟื้นตัวของการบริโภค โดยต้องติดตามการเร่งดำเนินนโยบายของภาครัฐและแนวโน้มความเชื่อมั่นของทุกภาคเศรษฐกิจอย่างใกล้ รวมทั้งหากภาครัฐเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเริ่มลงทุนได้ตามเป้าในครึ่งปีหลังของปี 2559 ก็จะเห็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นได้ต่อเนื่อง
ผลการประชุม ครม. เมื่อวานนี้ มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย พร้อมทั้งอนุมัติหลักการร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวม 3 ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติอนุมัติให้ขยายเวลาโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) วงเงิน 15,000 ล้านบาท ที่ปล่อยกู้โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) หรือ SME Bank ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.59 จากเดิมที่สิ้นสุดโครงการไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.58 เนื่องจากพบว่าล่าสุดยังมีการปล่อยสินเชื่อไปได้เพียง 4,600 ล้านบาทเท่านั้น และยังเหลือวงเงินสินเชื่ออีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยมีจำนวนผู้ขอสินเชื่อไปแล้วราว 1,300 ราย และการอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืมเงินจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยไม่มีดอกเบี้ย กำหนดชำระคืนภายใน 5 ปี (พ.ศ.2559 -2564) เพื่อดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกรเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการผลิตและการตลาด และอนุมัติเงินจ่ายขาดสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจำนวน 10 ล้านบาท
IRPC เผยผลประกอบการรวมบริษัทรายย่อยมีกำไรสุทธิในปี 2558 เพิ่มขึ้นแตะ 9.4 พันล้านบาท จากระดับ 5.23 พันล้านบาทในปี 2557