ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในปีนี้ โดยปรับตัวสูงขึ้นกว่า 15% สูงกว่าผลตอบแทนจากตราสารหนี้ทั้งแบบ High Yield และแบบ Investment Grade, สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล, สูงกว่าค่าเงินและดัชนีของตลาดหุ้นแห่งสำคัญของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศตลาดเกิดใหม่
ความสับสนอลหม่านในตลาดหุ้นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลกได้ทำให้นักลงทุนต้องการถือครองทองคำในฐานะ Safe-Haven เห็นได้จากกลุ่มนักเก็งกำไรที่เพิ่มการถือครองสถานะ Long สุทธิสูงที่สุดในรอบกว่า 1 ปี, กองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปีนี้มีเงินทุนไหลเข้ากว่า 4.5 พันล้านเหรียญ มากที่สุดในหมู่กองทุน ETF ทั้งหมดในสหรัฐฯ
รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ในปีนี้ กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 15% สู่ระดับ 1,678.7 ตัน สูงที่สุดในรอบกว่า 1 ปี และเป็นการถือครองทองคำเพิ่มขึ้นสูงที่สุดเมื่อเทียบรายไตรมาสนับตั้งแต่ปี 2010
ทองคำมีแนวรับที่ 1,210 เหรียญ หาก Break ลงมามีโอกาสทดสอบ 1,200 เหรียญ และมีโอกาสลงต่อลงมาแถวระดับ 1,190 เหรียญ ซึ่งอาจมีแรงกดดันต่อให้กลับลงมาทดสอบ 1,180 เหรียญ ทั้งที่สัญญาณ RSI ระดับรายวันส่งสัญญาณขาลง และต่ำกว่าระดับแนวรับ ณ ขณะนี้
ในทางตรงข้าม หากทองคำกลับขึ้นเหนือระดับแนวต้าน 1,230 เหรียญ หาก Break ขึ้นไปมีโอกาสทดสอบ1,240 เหรียญ และอาจทดสอบ 1,250 และ 1,260 เหรียญตามลำดับ
เชื่อมั่นในตลาดหุ้น โดยตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียยังคงได้รับแรงกดดันหลังจากที่ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประชุม G20 สิ้นสุดการประชุมโดยไม่มีข้อตกลงในการดำเนินการใหม่ๆร่วมกันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จาก FXStreet ระบุว่า ทองคำจะมีแนวต้านที่ระดับ 1,243.14 เหรียญ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ซึ่งหากผ่านไปได้มีโอกาสทดสอบ 1,253.32 เหรียญ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมเมื่อ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ในทางกลับกันหากทองคำปรับตัวลงต่ำกว่า 1,212 เหรียญ ซึ่งเป็นระดับเส้นค่าเฉลี่ย Fibonacci 23.6%ก็มีโอกาสกลับทดสอบ 1,200 เหรียญ
นักวิเคราะห์จาก Investing ระบุว่า ทองคำปรับตั้วขึนในตลาดยุโรปวันนี้ จากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นจีนกว่า 4% ในช่วงต้นตลาด จึงส่งผลให้นักลงทุนกลับเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย และไปทำจุดสูงสุดบริเวณ1,231.6 เหรียญ