ดังนั้นในภาคการบริโภคเพียงสิ่งเดียวที่น่ากังวลคือ “ความเชื่อมั่นผู้บริโภค” ซึ่งปรับตัวลดลงในเดือน ก.พ. และอาจกระทบต่อการบริโภคส่วนบุคคลในอนาคตอันใกล้ได้
ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินผ่านธุรกรรม Reverse Repos อายุ 7 วัน จำนวน 2.3 แสนล้านหยวนในวันนี้ ทั้งนี้ในสัปดาห์นี้มีธุรกรรม Reverse Repos หมดอายุหมดอายุทั้งสิ้น 1.16 ล้านล้านหยวน
เมื่อวานนี้ นาย Yi Gang รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน พยายามเบาเทาความกังวลของตลาดเกี่ยวกับความกังวลต่อค่าเงินหยวนลง โดยกล่าวว่า ธนาคารกลางจีนมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในปัจจัยพื้นฐานของค่าเงินหยวน เชื่อว่าเงินทุนไหลออกจะชะลอตัวลง และในที่สุดอัตราแลกเปลี่ยนจะกลับมาสะท้อนปัจจัยพื้นฐานมากขึ้นและสะท้อนการเก็งกำไรน้อยลง
“และเพื่อการนั้น เราต้องอดทน” นาย Yi กล่าว
ในวันนี้รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคมของจีน ระบุว่า อาจปรับลดตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรมถ่ายหินจำนวน 1.3 ล้านคน และภาคอุตสาหกรรมเหล็กจำนวน 5 แสนคน รวม 1.8 ล้านคน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของทางการจีนให้การปรับลดตำแหน่งงานเพื่อต่อสู้กับกำลังการผลิตส่วนเกินของภาคอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าจะเลย์ออฟพนักงานจำนวน 1.8 ล้านคนเมื่อใด
ทั้งนี้เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางการจีนได้ระบุว่าจะใช้เงินจำนวน 1 แสนล้านหยวน ภายในระยะเวลา 2 ปี เพื่อเลย์ออฟพนักงานโดยมีเป้าหมายเพื่อลดกำลังการผลิตส่วนเกินของจีนและต่อสู้กับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
นาย Francois Villeroy de Galhau ผู้ว่าการธนาคารกลางฝรั่งเศสและสมาชิกสภาผู้ว่าการอีซีบี(ECB Governing Council) กล่าวเมื่อวานนี้ว่า อีซีบีจะดำเนินมาตรการเพื่อตอบโต้ราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำหากราคาที่ตกต่ำนั้นแสดงสัญญาณว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะยาว โดยเราจะดูสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้งในเดือน มี.ค.
นาย Francois ระบุเพิ่มเติมว่า การเพิ่มมาตรการ QE ให้มากกว่าที่เป็นอยู่เป็นตัวเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วย
HSBC ระบุว่า ประเทศในกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ อาจต้องรีไฟแนนซ์หนี้จำนวน 9.4 หมื่นล้านเหรียญ ภายในระยะเวลา 2 ปี เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวเผชิญกับการเติบโตที่ชะลอตัวลงและการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
โดยอาจต้องรีไฟแนนซ์พันธบัตรจำนวน 5.2 หมื่นล้านเหรียญ และเงินกู้ร่วม(Syndicated Loans) จำนวน 4.2 หมื่นล้านเหรียญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์ ทั้งนี้กลุ่มประเทศดังกล่าวต้องเผชิญกับการขาดดุลทางการคลังและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนกว่า 3.95 แสนล้านเหรียญในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน
ในวันนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 0.3% สู่ระดับ 32.68 เหรียญ/บาร์เรล และ น้ำมันดิบ BRENT ปรับตัวสูงขึ้น 0.51% สู่ระดับ 35.28 เหรียญ/บาร์เรล
ผู้อำนวยการจาก JBC Energy Asia ระบุว่า ตลาดน้ำมันดิบสหรัฐฯดูเหมือนว่าจะสามารถผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาได้แล้ว และอาจเริ่มปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยได้รับปัจจัยบวกจากความกังวลต่อสต็อกน้ำมันดิบลดน้อยลง และข้อมูลภาคการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯจาก EIA ที่ช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบยังคงเผชิญกับความเสี่ยงทิศทางขาลงจากกำลังการผลิตส่วนเกินและสต็อกน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์
ข้อมูลจาก EIA เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ธ.ค. 2009 และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าผลกระทบดังกล่าวจะทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯปรับตัวลดลง 6 แสนบาร์เรล/วัน
Morgan Stanley ระบุว่า ความคืบหน้าใดๆที่จะช่วยหนุนความเป็นไปได้ที่ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการคงระดับการผลิตน้ำมันดิบไว้ ณ เดือน ม.ค. จะช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบให้ไปต่อได้ อย่างไรก็ตาม Morgan Stanley ยังคงกังขาว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นไปได้หรือไม่
รายงานจาก CFTC ระบุว่า เหล่าผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มสถานะ Long สุทธิในสัญญาน้ำมันดิบในตลาดNYMEX และ London เกือบ 16% ระหว่างวันที่ 17-23 ก.พ.
นักวิเคราะห์จาก Reuters ระบุว่า นักเก็งกำไรได้เพิ่มสถานะ Long ของตนหลังจากที่เกิดการพูดคุยเกี่ยวกับการคงระดับการผลิตน้ำมัน สัญญาณการชะลอตัวของการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ และการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์แก๊สโซลีน