นาย วิลเลี่ยม ดัดเล่ย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ระบุว่า เขามีมุมมองเชิงบวกต่อการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจจีน โดยเชื่อว่าว่าจีนจะสามารถบริหารจัดการได้ ถึงแม้ว่าจะประสบกับความยากลำบากเนื่องจากขนาดของเศรษฐกิจจีนที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนก็ตาม
เมื่อวานนี้ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตรา RRR ลง 0.5% จึงส่งผลให้ระดับ RRR ในปัจจุบันของธนาคารใหญ่ในจีนลดลงสู่ระดับ 17% โดยเป็นการปรับลดครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยเว้นช่วงไปนานกว่า 4 เดือน นับตั้งแต่การปรับลด RRR ครั้งสุดท้ายเมื่อ 23 ต.ค.การปรับลด RRR จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยหวังว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
นักเศรษฐศาสตร์จาก Oxford Economics ระบุว่า จีนปรับลด RRR เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่แรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนนั้นรุนแรงและยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป ทั้งนี้ธนาคารกลางจีนต้องการหนุนเศรษฐกิจด้วยการผ่อนคลายทางการเงิน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการป้องกันไม่ให้เงินทุนไหลออกและส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่า
อย่างไรก็ตามการผ่อนคลายทางการเงิน อย่างเช่นการปรับลด RRR จะกระตุ้นให้เงินทุนไหลออกเนื่องจากนักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนมากขึ้น และทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง ทั้งนี้จีนมีเงินทุนไหลออกในปี 2015 เกือบ 7 แสนล้านเหรียญฯ“ธนาคารกลางจีนต้องการเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง” นักเศรษฐศาตร์ฯ กล่าวอย่างน้อยการปรับลด RRR ก็ช่วยให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทุนไหลออกเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี
นักวิเคราะห์จาก Societe Generale ระบุว่า จีนเลือกที่จะปรับลด RRR ลงในช่วงเวลาที่ค่าเงินหยวนเริ่มมีเสถียรภาพและความกังวลเรื่องเงินทุนไหลออกเริ่มลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาธนาคารกลางจีนระบุว่าไม่ต้องการการปรับลด RRR มากนักเนื่องจากจะทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่า ณ ขณะนี้ เมื่อเวลาผ่านมาเพียง 1 เดือน ดูเหมือนว่าธนาคารกลางจีนกังวลเกี่ยวกับค่าเงินหยวนและเงินทุนไหลออกน้อยลงแล้วในวันนี้ธนาคารกลางจีนไม่ได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินเช่นเคย เนื่องจากสภาพคล่องที่ล้นเหลือจากในระบบ โดยการปรับลดRRR ลง 0.5% เมื่อวานนี้ได้ส่งผลให้มีเงินในระบบเพิ่มขึ้น 6 แสนล้านหยวน
สำนักข่าว Reuters อ้างถึงแหล่งข้อมูลจากกลุ่มผู้นำในประเทศจีน 2 คน โดยระบุว่า ทางการจีน ตั้งเป้าที่จะเลย์ออฟพนักงานในภาคการผลิตที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวน 5-6 ล้านคน ภายในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อลดกำลังการผลิตส่วนเกินและมลภาวะ
“รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมจีน ไม่ได้ตอบคำถามเมื่อถูกถามด้วยคำถามดังกล่าว” สำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุข่าวดังกล่าวออกมาหลังจากที่เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคมจีน ออกมาระบุว่า จีนต้องการเลย์ออฟพนักงาน 1.8 ล้านคนจากอุตสาหกรรมถ่ายหินและอุตสาหกรรมเหล็ก
เป้าหมายของจีนในการปรับลดกำลังการผลิตส่วนเกินพุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรม 7 อุตสาหกรรม รวมถึง อุตสาหกรรมซีเมนต์, ผลิตแก้ว, ต่อเรือ เป็นต้นราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 1.21% สู่ระดับ 34.16 เหรียญ/บาร์เรล ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2003
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในวันนี้ เนื่องจากการผลิตน้ำมันดิบที่ลดลงของทั้งสหรัฐฯและกลุ่ม OPEC ได้ทำให้ความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาดลดลง และได้บดบังปัจจัยลบจากข้อมูลภาคการผลิตจีนที่หดตัวลงซึ่งอาจทำให้อุปสงค์น้ำมันดิบลดลง
การผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC ลดลง 280,000 บาร์เรล/วัน ในเดือน ก.พ. สู่ระดับ 32.37 ล้านบาร์เรล/วันรายงานจากทางการสหรัฐฯเมื่อวานนี้ ระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลง 43,000 บาร์เรล/วัน ในเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาสู่ระดับ 9.26 ล้านบาร์เรล/วัน Morgan Stanley ระบุว่า อุปสงค์น้ำมันดิบเริ่มที่จะปรับตัวลดลง