ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิด -0.64% ที่ระดับ 16,964.10 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปิด -1% ที่ระดับ 337.48 จุด หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงกว่า 3.7% จึงฉุดรั้งให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตาม รวมทั้งแรงกดดันหลังจากจีนเผยข้อมูลยอดส่งออกปรับตัวลงมากที่สุดในรอบกว่า 6 ปี จึงทำให้นักลงทุนกังวลต่อภาวะขยายตัวของเศรษฐกิจจีน
ด้านตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบและข้อมูลการค้าที่อ่อนแอของจีน ที่สร้างความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก
ดัชนีนิกเกอิเปิดตลาด -1.34% โดยร่วงลงกว่า 224.09 จุด ที่ระดับ 16,559.06 จุด เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กและการแข็งค่าของค่าเงินเยนที่กดดันหุ้นกลุ่มส่งออก
นักบริหารเงิน ประเมินว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.30 – 35.55 บาท/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวตามภูมิภาค น่าจะรอปัจจัยใหม่เข้ามา
ผู้ว่าการ ธปท.ระบุภาวะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นผลมาจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติในระยะสั้น ซึ่งมาจากความผันผวนของตลาดการเงินโลก ขอให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าปิดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แม้ว่าปัจจุบันเอกชนจะซื้อประกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่มีบางส่วนชะล่าใจ เพราะเชื่อว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียว ทั้งนี้ ธปท.จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้กระทบต่อความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับกลาง เมื่อเทียบกับเงินสกุลประเทศคู่แข่งและในภูมิภาค
นอกจากนี้ ผู้ว่าการ ธปท. เผยว่า วันที่ 31 มี.ค.59 ธปท.จะแถลงปรับประมาณการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (GDP)รอบใหม่ โดยมีแนวโน้มจะต่ำกว่าประมาณการณ์เดิมที่คาดว่าปีนี้จะขยายตัวได้ 3.5% หลังจากเห็นความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจตั้งแต่เดือน ธ.ค.58 ที่ผ่านมาชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความผันผวน จากเศรษฐกิจต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก และสถานการณ์ภัยแล้งที่คาดว่าจะรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่ล่าช้ากว่าเดิม