ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิด +0.24% ที่ระดับ 18,096.27 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปิด +0.4% ที่ระดับ 350.74 จุด เพราะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมัน WTI ที่ยืนเหนือ 42 เหรียญ/บาร์เรล รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสหรัฐฯ และการปรับขึ้นเกินคาดของยอดขายบ้านมือสอง
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนครึ่ง จากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ และความคาดหวังที่ว่าบรรดากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบอาจบรรลุข้อตกลงเพื่อลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบได้ โดยดัชนีนิกเกอิเช้านี้ปรับขึ้นประมาณ 2%
นักบริหารเงิน ประเมินว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 34.85 – 35.00 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่เมื่อวานนี้ลงมาทำแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 เดือน ที่ระดับ 35.79 บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะอ่อนค่าขึ้นในเช้านี้บริเวณ 34.94 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทยังค่อนข้างผันผวนในกรอบ จึงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ ธปท. ส่งสัญญาณเตือนเรื่องการเก็งกำไร และพร้อมเข้าแทรกแซงหากมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินของ ธปท. กล่าวถึงทิศทางของค่าเงินบาทในปัจจุบันว่า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้นจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ โดยล่าสุดเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นบ้างโดยเคลื่อนไหวที่ราว 34.80-35.00 บาท/ดอลลาร์ ตาม sentiment ของตลาดที่ดีขึ้นหลังราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นเหนือ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล ประกอบกับท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้นว่า เฟดจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ส.อ.ท. เผย ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมี.ค.59 อยู่ที่ระดับ 86.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 85.1 ในเดือนก.พ.59
กกพ. มีมติเห็นชอบให้ปรับลดค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บเงินในงวดเดือนพ.ค.-ส.ค.59 ลง 28.49 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าเอฟทีในงวดดังกล่าวอยู่ที่ -33.29 สตางค์/หน่วย