ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ท่ามกลางการช้อนซื้อเก็งกำไรของกลุ่มนักลงทุน หลังจากที่ดอลลาร์อ่อนตัวอย่างมากจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังของสหรัฐฯ โดยเช้านี้ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นมาบริเวณ 92.958 ขณะที่ค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลงแถวระดับ 1.1506 ดอลลาร์/ยูโรในเช้าวันนี้ หลังจากที่เมื่อวานขึ้นไประดับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ 25 สิงหาคม 2015 บริเวณ 1.1614 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินเยนเช้านี้กลับมาอ่อนค่าขึ้นแถวระดับ 106.63 เยน/ดอลลาร์ หลังจากเมื่อวานนี้แข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมปี 2014 บริเวณ 105.57 เยน/ดอลลาร์
เมื่อคืนนี้ นายเดนนิส ล็อกฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า แสดงความวิตกกังวลต่อข้อมูลจีดีพีไตรมาสแรกที่ไม่สดใสนักของสหรัฐฯ จึงทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจว่าเฟดควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนนี้หรือไม่ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานจากกลุ่มผู้บริโภคก็ไม่ได้หนุนให้จีดีพีสหรัฐฯแข็งแกร่งขึ้น มีเพียงการเติบโตของตลาดแรงงานเท่านั้นที่ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เขายังแสดงความคิดเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยระดับติดลบจำเป็นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าการใช้อัตราดอกเบี้ยระดับติดลบในญี่ปุ่นและยุโรปจะส่งผลดีในระยะยาว ขณะที่ภาวะ Bretix หรือการออกจากอียูของอังกฤษ อาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนถัดไป เนื่องจากการออกจากอียูของอังกฤษอาจยิ่งสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ดี อังกฤษมีกำหนดการลงประชามติในการออกจากอียูในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเป็นเดือนเดียวกันกับที่เฟดมีการจัดประชุมวันที่ 14-15 มิถุนายนนี้
รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ภาคธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบจาก Hedge Fund ที่มีปัญหาน้อยลงในช่วงเกิดวิกฤตทางการเงินในอนาคต โดยข้อเสนอใหม่ของเฟด เสนอว่า ให้นักลงทุนบางกลุ่มต้องรอระยะเวลา 48 ชม. ก่อนปิดสถานะใดๆกับธนาคาร ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะให้เวลาธนาคารโอนย้ายหลักทรัพย์เช่น ตราสารอนุพันธ์ให้กับธนาคารที่มีสถานะทางการเงินดีกว่า ก่อนที่ตนจะล้มละลาย ซึ่งมาตรการดังกล่าวของเฟดจะช่วยลดความวุ่นวายเฉกเช่นเดียวกับปี 2008 ที่เกิดการล้มลายของ Lehman Brothers
ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลงติดต่อกัน 2 วันทำการ โดยน้ำมันดิบ WTI ปิด -2.5% ที่ระดับ 43.65 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิด -1.9% ที่ระดับ 44.97 เหรียญ/บาร์เรล โดยนักลงทุนวิตกกังวลต่อภาวะอุปทานน้ำมันดิบล้นตลาด หลังจากมีรายงานว่ากลุ่มประเทศในตะวันออกกลางเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ ขณะที่มีกระแสคาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯจะปรับตัวสูงขึ้น