ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯที่อ่อนแอในช่วงแรก ก่อนจะดีดกลับจากถ้อยแถลงของ นายวิลเลียม ดัดเลย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ที่ระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนวน 2 ครั้งยังคงเป็นการประเมินที่สมเหตุสมผล โดยเช้านี้ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้น 94.036
ขณะที่ค่าเงินยูโรเช้านี้ร่วงลงต่อที่ระดับ 1.1383 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.1487 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าขึ้นมา 107.54 เยน/ดอลลาร์ และค่าเงินบาทเช้านี้ปรับอ่อนค่าขึ้นมาเล็กน้อยบริเวณ 35.13 บาท/ดอลลาร์ จากระดับปิดวันศุกร์ 35.09 บาท/ดอลลาร์
ผลการประกาศข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯ พบว่า การจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯประจำเดือนเมษายนออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์อย่างมากแตะระดับ 160,000 ตำแหน่ง โดยปรับตัวลง 48,000 ตำแหน่งเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเป็นระดับการจ้างงานที่ขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่อัตราการว่างงานสหรัฐฯยังคงทรงตัวเท่าเดิมที่ระดับ5.0% ตามคาด
รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอของสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของสหรัฐฯ ควบคู่กับภาคการผลิตและผลประกอบการกลุ่มบริษัทที่ไม่ค่อยสดใส จึงส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์บางส่วน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการเงินบางแห่ง อาทิ แบงก์ ออฟ เมอร์ริล ลินช์ และบาร์เคลย์ แบงก์ ประเมินว่าเฟดอาจทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เพียง 1 ครั้งในปีนี้ จากจำนวน 2 ครั้งที่เฟดประมาณการณ์ไว้
ทั้งนี้ ประธานผู้อำนวยการนักเศรษฐศาสตร์จากบาร์เคลย์แบงก์ ระบุว่า เราคาดว่าเฟดจทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เพียง 1 ครั้ง ในปี 2016 นี้ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน และเชื่อว่าเฟดน่าจะใช้เวลามากขึ้นในการรวบรวมหลักฐานทางเศรษฐกิจที่เพียงพอ รวมทั้งกิจกรรมของภาคตลาดแรงงานที่กำลังฟื้นตัวหลังจากที่อ่อนตัวลงในช่วงเริ่มต้นปี
อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนยังเชื่อว่า เฟดน่าจะทำขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้จำนวน 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากอัตราค่าแรงที่ยังคงปรับตัวขึ้นจะช่วยผลักดันให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นตาม โดยครั้งที่ 1 จากจำนวน 2 ครั้ง น่าจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดในเดือนมิถุนายน (เฟดประชุม 14-15 มิ.ย.)
ผลสำรวจภาคธนาคารสหรัฐฯจากรอยเตอร์ส พบว่า 9 จาก 17 แห่ง คาดว่าเฟดจะดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้จำนวน 2 ครั้งในปีนี้ โดยลดลงจากผลสำรวจเดิมในเดือนก่อนหน้าจำนวน 12 จาก 16 แห่ง
ด้าน FedWatch จาก CME Group ประเมินว่ามีโอกาส 42% ที่เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน และอีก 61% เชื่อว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ตลาดส่วนใหญ่จับตาไปยังข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินความชัดเจนของภาวะเศรษฐกิจจีนที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก หลังจากเมื่อวานนี้ จีนเผยข้อมูลการค้าประจำเดือนเมษายน พบว่า ยอดส่งออกลดลง 1.8% เมื่อเทียบรายปี แตะระดับ 1.727 แสนล้านเหรียญ ขณะที่ยอดนำเข้าร่วงลง 10.9% แตะระดับ 1.272 แสนล้านเหรียญเมื่อเทียบรายปี
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ จีนจะเปิดเผยข้อมูล CPI และ PPI โดยมีแนวโน้มว่าดัชนี CPI มีแนวโน้มจะทรงตัวที่ระดับ 2.3% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ดัชนี PPI มีแนวโน้มที่จะยังปรับตัวลดลง
น้ำมันดิบ WTI ปิด+0.8% ที่ระดับ 44.66 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิด +0.8% เช่นกัน ที่ระดับ 45.37เหรียญ/บาร์เรล เพราะได้รับแรงหนุนจากเหตุไฟไหม้ป่าของแคนาดาในรัฐอัลเบอต้า ซึ่งเป็นรัฐที่ผลิตน้ำมันดิบของแคนาดา
อย่างไรก็ดี ภาพรวมในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบ WTI ยังคง -2.7% และน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ร่ะดับ -4.2%
รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ซาอุดิอาระเบียแต่งตั้ง นายคาลิด อัล-ฟาลีห์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนใหม่ เพื่อปรับโครงสร้างคณะรัฐมนตรีตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังให้สอดคล้องและมีประสิทธิภาพ