ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯส่วนใหญ่ที่ออกมาแข็งแกร่ง จึงหนุนให้เกิดกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในเร็วๆนี้ โดยดัชนีดอลลาร์เช้านี้ปรับขึ้นแถวระดับ 94.56
ค่าเงินยูโรเช้านี้อ่อนค่าลงมาบริเวณ 1.1308 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับ 1.1314 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินเช้านี้เคลื่อนไหวแถวระดับ 109 เยน/ดอลลาร์
ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ พบว่าส่วนใหญ่ออกมาดีขึ้น นำโดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนเมษายนขยายตัวขึ้นเกินคาดแตะระดับ 0.4% ซึ่งเป็นระดับการขยายตัวมากที่สุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ กุมภาพันธ์ ปี 2013 เพราะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาในกลุ่มพลังงานและเป็นการส่งสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังขยายตัวสู่ระดับเป้าหมายที่เฟดกำหนด จึงส่งสัญญาณว่าเฟดอาจทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในเร็วๆนี้
สำหรับดัชนีราคาผู้ผลิตที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน (Core CPI) ขยายตัวขึ้นตามคาดสู่ระดับ 0.2% จากระดับ 0.1%และข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ออกมาดีขึ้น โดยข้อมูลอนุมัติการก่อสร้างออกมาดีขึ้นแตะระดับ 1.12 ล้านยูนิตในเดือนเมษายน หรือปรับขึ้น 40,000 ยูนิตเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่ยอดการเริ่มต้นสร้างบ้านออกมาดีขึ้นเกินคาดแตะระดับ 1.17 ล้านยูนิต หรือปรับขึ้น 70,000 ยูนิตเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมการผลิตประจำเดือนเมษายนขยายตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่ระดับ 0.7% จากระดับ -0.9% ในเดือนก่อนหน้า
นักลงทุนส่วนใหญ่จับตาว่าเมื่อใดที่เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเจ้าหน้าที่เฟดบางราย ระบุว่าเฟดจะทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งปีนี้ ขณะที่เหล่าเทรดเดอร์ประมาณการณ์ว่าอาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
นาย จอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก และ นายเดนนิส ล็อกฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เฟดอาจทำการปรับขี้นอัตราดอกเบี้ยได้ 2 หรือ 3 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ดี เขาทั้ง 2 ไม่มีสิทธิออกเสียงในการร่วมโหวตนโยบายปีนี้ เช่นเดียวกับประธานเฟดสาขาริชมอนด์ที่กล่าวหนุนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
โปรแกรม FedWatch ของ CME Group ประเมินว่า เหล่าเทรดเดอร์กว่า 58% มีมุมมองว่าเฟดมีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมในเดือนพฤศจิกายน โดยเพิ่มจากผลสำรวจวันจันทร์ที่ออกมาที่ระดับ 42% ในเดือนดังกล่าว
เช้านี้ ญี่ปุ่นเผยประมาณการณ์จีดีพีไตรมาสแรกขยายตัวขึ้นเกินคาดแตะระดับ 0.4% จากระดับ -0.3% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ภาพรวมจีดีพีขยายตัวขึ้นแตะ 1.7% เมื่อเทียบกับคาดการณ์ก่อนหน้าจากรอยเตอร์ที่ระดับ 0.2%
น้ำมันดิบยังคงปิดปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 2 โดยน้ำมันดิบ WTI ปิด +1.2% ที่ระดับ 48.31 เหรียญ/บาร์เรล โดยเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิด +0.6% ที่ระดับ 49.28 เหรียญ/บาร์เรล โดยตลาดได้รับแรงหนุนจากกลุ่มนักลงทุนที่คลายความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาด หลังรายงานจาก Goldman Sachsระบุว่า ภาวะอุปทานล้นตลาดที่เกิดขึ้นในตลาดน้ำมันได้สิ้นสุดลงแล้ว ขณะเดียวกันนักลงทุนเฝ้ารอการประกาศสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯในคืนนี้