ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของเยอรมนีที่กลับสู่ระดับติดลบเป็นครั้งแรก หลังผลสำรวจบ่งชี้ว่าเสียงส่วนใหญ่อาจเลือก “ออกจากอียู” ขณะที่ตลาดเฝ้าระวังการตัดสินใจของเฟด ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะ Brexit โดยค่าเงินยูโรเช้านี้เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบริเวณ 1.1210 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่เมื่อคืนนี้อ่อนค่าไปทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1.1189 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ดัชนีดอลลาร์เช้านี้ปรับตัวขึ้นแถวระดับ 94.966
สำหรับค่าเงินเยนเช้านี้ปรับอ่อนค่าขึ้นมาทรงตัวระดับ 106.118 เยน/ดอลลาร์ในเช้านี้ จากระดับ105.63 เยน/ดอลลาร์ และค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าขึ้นแถวระดับ 35.36 บาท/ดอลลาร์ในเช้านี้ จากระดับต่ำสุดวานนี้บริเวณ 35.09 บาท/ดอลลาร์
ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยชาวอเมริกาส่วนใหญ่เข้าซื้อยานยนต์และสินค้าคงทนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาต้องจ่ายค่าแก๊สโซลีนเพิ่มขึ้น จึงส่งสัญญาณว่าสภาพเศรษฐกิจยังมีการขยายตัวขึ้นแม้ว่าการจ้างงานจะชะลอตัวลง ขณะที่ยอดนำเข้าปรับตัวขึ้นในรอบกว่า 4 ปี
เมื่อวานนี้ ยอดค้าปลีกออกมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยปรับขึ้นเกินคาดแตะระดับ 0.5% หลังจากที่ปรับขึ้นมากว่า 1.3% ในเดือนก่อนหน้า จึงส่งผลให้ภาพรวมยอดค้าปลีกขยายตัวขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ด้านยอดค้าปลีกที่ไม่รวมกลุ่มยานยนต์ขยายตัวตามคาดแตะระดับ 0.4%
ด้านดัชนีราคานำเข้าปรับตัวขึ้นเกินคาดแตะระดับ 1.4% ในเดือนพฤษภาคม และขยายตัวขึ้นได้มากที่สุดนับตั้งแต่มีนาคมปี 2012
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงประมาณ 2% โดยนักลงทุนรอคอยการประกาศสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของ EIA ที่จะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ หลังจาก API รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวขึ้นประมาณ 1.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา แตะระดับ 536.7 ล้านบาร์เรล ขณะเดียวกันนักลงทุนในตลาดยังคงวิตกกังวลต่อการลงประชามติของอังกฤษในสัปดาห์หน้าว่าจะเลือกออกจากอียูหรือไม่
ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 39 เซนต์ ที่ระดับ 48.49 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 52 เซนต์ ที่ระดับ 49.83 เหรียญ/บาร์เรล