ทองคำปรับตัวขึ้นในช่วงตลาดยุโรปแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2014 ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนตอบรับกับการตัดสินใจของเฟดและบีโอเจ โดยเฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ แต่ปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยในอีก 2 ปีข้างหน้า ถือเป็นการตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยทองคำวันนี้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดบริเวณ 1,314.35 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 เดือน
ราคาทองคำเดือนมิถุนายนนี้ปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 8% จากกระแสคาดการณ์ที่ลดน้อยลงเกี่ยวกับโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของเฟด ท่ามกลางความกังวลว่าอังกฤษจะเลือกโหวตออกจากอียูในการลงประชามติสัปดาห์หน้า
เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนมีการประเมินว่า มีโอกาสเพียง 8% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม โดยลดลงจากระดับ 20% ในคาดการณ์ก่อนหน้า และมีโอกาส 29% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ขณะที่ในเดือนธันวาคมมีโอกาสประมาณ 48% เมื่อเทียบกับคาดการณ์เดิมก่อนที่เฟดจะประชุมว่ามีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 59%
นักเศรษฐศาสตร์ จาก University of California's Martin School of Business ระบุว่า มีความไม่แน่นอนมากมายในขณะนี้ที่ต้องได้รับการแก้ไข เฟดต้องการความมั่นใจว่าข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่อ่อนแอในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมานั้น จะคงอยู่แค่ชั่วคราว และจะไม่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลง
ด้านบีโอเจตัดสินใจคงนโยบายการเงินในการประชุมวันนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะซบเซาและอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำจึงยังคงสร้างแรงกดดันต่อกลุ่มผู้กำหนดนโยบายการเงินของบีโอเจในการทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นก้าวออกจากภาวะซบเซา ส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าและกดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ค่าเงินเยนแข็งค่าเกือบ 2% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ แตะระดับ 103.96 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่สิงหาคมปี2014 ขณะที่ดัชนีนิกเกอิปรับตัวลงกว่า 3% จากการตัดสินใจของบีโอ ด้านดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.4% แตะระดับ 94.30 โดยปรับลงจากระดับสูงสุดเมื่อวานนี้บริเวณ 95.15
สถาบันจัดอันดับ Fitch Ratings ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำสู่ระดับ 1,100 เหรียญ จากระดับ 1,000 เหรียญ ท่ามกลางความไม่แน่นอนและการใช้อัตราดอกเบี้ยระดับติดลบของยุโรป สอดคล้องกับกระแสคาดการณ์ที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ลดน้อยลงไป จึงส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนทองคำในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2016
ผลการสำรวจผู้เชี่ยวชาญ 22 ราย โดย Bloomberg ระบุว่า หากอังกฤษเลือกโหวตออกจากสหภาพยุโรป ราคาทองคำคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นไปสู่ระดับ 1,350 เหรียญ ขณะที่หากอังกฤษยังเลือกคงอยู่กับสหภาพยุโรปต่อไป ราคาทองคำคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 1,250 เหรียญ
ทั้งนี้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่พุ่งสูงขึ้น
CEO ประจำ Sharps Pixley ระบุว่า หากผลการทำประชามติของอังกฤษ คือออกจากสหภาพยุโรป ความไม่แน่นอนในตลาดจะยังคงอยู่ต่อไป เนื่องจากความกังวลว่าอังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปอย่างไร และเมื่อไหร่ จะเป็นประเด็นความเสี่ยงต่อไป ซึ่งจะช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อ
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า นักลงทุนควรมีหุ้นทองคำอย่าง AngloGold Ashanti Ltd และ Barrick Gold Corp ติดพอร์ตเอาไว้บ้าง เพื่อปกป้องตนเองหากการทำประชามติของอังกฤษสร้างความตื่นตระหนกให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา
ทั้งนี้นอกเหนือจาก Brexit แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ช่วยหนุนราคาทองคำอีกเช่นกัน อาทิ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง, การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ, การใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบในญี่ปุ่นและยุโรป เป็นต้น ซึ่งช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากในปีนี้ หลังจากที่ปรับตัวลดลงติดต่อกันมาตลอด 3 ปี โดยในปีนี้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วกว่า 20%
นักวิเคราะห์จาก Marex Spectron Group ระบุว่า หากอังกฤษเลือกที่จะอยู่กับสหภาพยุโรปต่อไป ก็ยังมีประเด็นอื่นๆที่เป็นปัจจัยหนุนทองคำอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่คาดว่าการทำประชามติของอังกฤษจะเป็นสาเหตุให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงมากนัก
CEO จาก Zee Gold DMCC ระบุว่า หากนักลงทุนเสียขวัญจากกรณี Brexit และส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกหดตัวอย่างรุนแรง ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นเป็นอยากมาก
นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า หากอังกฤษโหวตออกจากสหภาพยุโรปจริงจะมีผลกระทบอย่างหนักต่อระบบการเงิน เนื่องจากถึงแม้ว่าโพลล์ส่วนใหญ่จะให้คะแนนทั้งสองฝั่งสูสีกัน แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยกันกับผม ยังคงเชื่อว่าอังกฤษจะยังอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป