ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญแรงเทขายติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อวานนี้ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 31 ปี ขณะที่ปริมาณความต้องการทองคำและตราสารหนี้ฟื้นตัวขึ้นในฐานะ Safe-Haven จากภาวะ Shock ที่เกิดขึ้นของผลการลงประชามติอังกฤษในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่อังกฤษเลือกออกจากอียู
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีแรงกดดันจากการเทขายทำกำไรอย่างต่อเนื่องจากคืนวันศุกร์ โดยเมื่อวานนี้ดัชนีดาวโจนส์หลุดต่ำกว่าระดับเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 ปิด -1.5% (260.51 จุด) ที่ระดับ 17,140.24 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด -1.81% ที่ระดับ 2,000.54 จุด ด้านดัชนี Nasdaqร่วงลง -2.41% ที่ระดับ 4,594.44 จุด
สำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า ดาวโจนส์ร่วงลงแล้วเกือบ 900 จุด นับตั้งแต่เกิด Brexit โดยการตัดสินใจของชาวอังกฤษในการเลือกออกจากอียูส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารและเทคโนโลยีอ่อนตัว ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ที่อาจส่งผลต่อแรงขายและการสร้างผลกำไร
รายงานจาก Standard & Poor’s Dow Jones Indices พบว่า วันศุกร์ที่ผ่านมาเกิดแรงเทขายมากถึง 2.08 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ จากตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นระดับการปรับตัวลงรายวันมากทีสุดที่เคยมีมา ซึ่งนับตั้งแต่ที่ทราบผลประชามติของอังกฤษ ดัชนี S&P500 ก็ร่วงลงแล้วกว่า 5.3% ซึ่งเป็นระดับการร่วงราย 2 วันที่มากที่สุดนับตั้งแต่สิงหาคมปี 2015
ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวลดลงต่อจากภาวะ Shock ต่อผลการลงประชามติของอังกฤษที่เลือกออกจากอียู ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก โดยดัชนี MSCI ซึ่งไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิด -0.3% ขณะที่ดัชนีนิกเกอิเช้านี้เปิด -1.3% และยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เมื่อวานนี้นิกเกิอรีบาวน์ได้ 2.4% หลังจากที่ร่วงลงไป 7.9% ในวันศุกร์