• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2559

    6 กรกฎาคม 2559 | Economic News




เมื่อวานนี้ ธนาคารกลางอังกฤษประกาศลดการดำรงเงินกองทุนสำหรับลดความรุนแรงของวัฏจักรเศรษฐกิจ หรือ Countercyclical Capital Buffer ลงสู่ระดับ 0% จากระดับ 0.5% โดยมีผลทันที

ผลดังกล่าวจะช่วยให้ภาคธนาคารของอังกฤษกันเงินสำรองน้อยลงราว 5.7 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 7.5 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มความสามารถในการให้กู้ของภาคธนาคารราว 1.5 แสนล้านปอนด์

โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความสามารถของภาคธนาคารในการปล่อยกู้ให้แก่ครัวเรือนและธุรกิจ

นอกจากนี้ ธนาคารกลางอังกฤษยังได้ให้คำมั่นว่าจะใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อพยุงเสถียรภาพการเงิน ภายหลังจากที่อังกฤษลงประชามติถอนตัวจากสหภาพยุโรป และยอมรับว่าแนวโน้มของเสถียรภาพทางการเงินของสหราชอาณาจักรนั้นอยู่ในสภาพที่ท้าทาย

เมื่อวานนี้นาย Mark Carney ระบุว่า Brexit คือความเสี่ยงในระยะสั้นที่ใหญ่ที่สุดต่อเสถียรภาพทางการเงิน และความเสี่ยงนั้นกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

นายวิลเลี่ยม ดัดเล่ห์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ระบุว่า เฟดต้องอดทนในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในสภาวะที่อัตราเงินเฟ้อต่ำและมีความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ประเด็น Brexit เป็นต้น

นายดัดเลห์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะตัดภาคพลังงานออกไป ระดับอัตราเงินเฟ้อก็ยังน้อยกว่าระดับที่เราคาดหวัง โดยหากอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น เราก็น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้บ้างเล็กน้อย

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 1.0% ในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 2 เดือนติดต่อกัน

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานลดลง 0.9% ในเดือนพ.ค. การร่วงลงของยอดสั่งซื้อภาคโรงงานมีสาเหตุจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในภาคการขนส่ง และสินค้าทุน

ทั้งนี้ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน ลดลง 0.4% ในเดือนพ.ค. ดีกว่าที่รายงานในเดือนที่แล้วว่าลดลง 0.7% โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวได้รับการจับตาว่าเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเมื่อวานนี้ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 5% เมื่อคืนนี้ (5 ก.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า เศรษฐกิจทั่วโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบของ Brexit นั้น จะทำให้อุปสงค์พลังงานอ่อนแรงลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ไนจีเรียและซาอุดิอาระเบียผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 2.39 ดอลลาร์ หรือ 4.9% ปิดที่ 46.60 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 2.14 ดอลลาร์ หรือ 4.3% ปิดที่ 47.96 ดอลลาร์/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com