นาย Mark Carney ผู้ว่าการบีโออี ระบุเมื่อวานนี้ว่า ผลกระทบจาก Brexit ต่อเศรษฐกิจอังกฤษ ส่งผลให้บีโออีอาจต้องออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
“หากภาพรวมเศรษฐกิจแย่ลง จนต้องใช้นโยบายทางการเงิน บีโออีก็พร้อมจะใช้” นาย Mark Carney กล่าว
ทั้งนี้บีโออีจะมีกำหนดการประชุมในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักลงทุนในตลาดคาดการณ์ว่าบีโออีจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจากระดับ 0.5% สู่ระดับ 0.25% อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์หลายคน ระบุว่า บีโออีอาจรอถึงการประชุมในเดือน ก.ย. ค่อยลดอัตราดอกเบี้ยก็เป็นได้ เนื่องจาก ณ ขณะนั้นจะเห็นภาพผลกระทบจาก Brexit ชัดเจนยิ่งขึ้น
ค่าเงินปอนด์เมื่อวานนี้แข็งค่าขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากอังกฤษที่มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่เร็วกว่าคาด และยังแข็งค่าขึ้นต่อหลังบีโออีมีถ้อยแถลงเมื่อวานนี้
นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขา St. Louis ระบุเมื่อวานนี้ว่า เฟดไม่ควรเร่งรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้ข้อมูลการจ้างงานประจำเดือน มิ.ย. จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งก็ตาม โดยยังคงคาดว่าเฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
นอกจากนี้นายบูลลาร์ด ยังคาดการณ์ว่า การจ้างงานจะเติบโตขึ้นช้าลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากตลาดแรงงานที่เข้าใกล้ภาวการณ์จ้างงานเต็มที่
“คุณน่าจะไม่เห็นการจ้างงานที่เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 200,000 ตำแหน่งต่อเดือนอีกแล้ว ผมคาดว่าตลาดแรงงานจะเติบโตได้ช้าลง ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของวัฏจักรธุรกิจ” นายบูลลาร์ดกล่าว
ในระยะหลังมานี้มุมมองของนายบูลลาร์ดต่อนโยบายการเงินได้เปลี่ยนไป โดยเขาคาดว่าสหรัฐฯได้เข้าสู่ภาวะ “การเติบโตต่ำ” ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมสำหรับเขาจึงต่ำตามไปด้วย และคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียว หากไม่มีปัจจัยอื่นๆมาขัดขวาง
นาย Neel Kashkari ประธานเฟดสาขา Minneapolis ระบุว่า เฟดไม่ควรเร่งรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และเศรษฐกิจสหรัฐฯพึ่งจะเข้าสู่ภาวการณ์จ้างงานเต็มที่ได้ไม่นาน
“ผมรู้สึกว่าเราควรจะอดทนต่อไปอีกซักพัก เพื่อหนุนการเติบโต ก่อนที่เราจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เราไม่ควรเร่งรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพราะอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ” นาย Kashkari กล่าว
สมาชิกเฟด 6 รายจาก 17 ราย ต้องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์ ในการประชุมเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นในระยะข้างหน้า และอัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆปรับขึ้นสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
โดยประธานเฟดสาขา Kansas City, Richmond, Cleveland และ San Francisco ต้องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันอัตราเงินกู้ยืมดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1% ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นอัตราดอกเบี้ยคนละแบบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของพนักงาน (JOLTS) รายเดือน พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานลดลง 3.7% สู่ 5.5 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ค. จากระดับ 5.79 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย.
ตัวเลขการจ้างงานที่ลดลงส่วนใหญ่อยู่ในภาคเอกชน โดยเฉพาะในแถบมิดเวสต์ และตอนใต้ของสหรัฐ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า การลงประชามติของอังกฤษในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ได้ก่อให้เกิดความไม่แน่นอน และเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
อย่างไรก็ดี IMF ระบุว่า จนถึงขณะนี้ ปัจจัย Brexit ดูเหมือนจะมีผลกระทบไม่มากนักต่อการขยายตัวของสหรัฐ
IMF ประกาศคงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ระดับ 2.2% ในปีนี้ และ 2.5% ในปีหน้า
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 5% เมื่อวานนี้ มากที่สุดในระดับวันนับตั้งแต่เดือน เม.ย. โดยสำนักข่าว Reuters รายงานว่า เกิดจากการที่นักลงทุนที่ทำการ Short Covering ประกอบกับการ Technical Rebound
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบหดตัวลงบ้างหลัง API ประกาศข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯออกมาเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งสวนทางกับผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Reuters ที่คาดการณ์ว่าจะลดลง 3 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 4.8% ปิดที่ระดับ 48.47 เหรียญ/บาร์เรล
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ออกรายงานภาวะตลาดน้ำมันประจำเดือนก.ค.ในวันนี้ โดยระบุว่า แนวโน้มตลาดน้ำมันยังคงมีความสดใสในปีหน้า โดยอุปสงค์น้ำมันจะสูงกว่ากำลังการผลิตน้ำมันในปัจจุบัน ขณะที่ปริมาณน้ำมันส่วนเกินในตลาดจะค่อยๆลดลง
รายงานโอเปกระบุว่า อุปสงค์น้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้น 1.15 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า โดยลดลงเล็กน้อยจากระดับ 1.19 ล้านบาร์เรล/วันที่คาดไว้สำหรับปีนี้
รายงานยังคาดการณ์ว่า โอเปกคาดว่าผลผลิตน้ำมันจากประเทศนอกกลุ่มโอเปกจะลดลงต่อไป และอุปสงค์น้ำมันของโอเปกจะเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี โอเปกได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ สู่ระดับ 3.0% จากเดิมที่ระดับ 3.1% เนื่องจากมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจากการที่อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)