ผลสำรวจจาก Reuters ชี้ เฟดจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยไปจนกว่าจะถึงเดือน ธ.ค.
ผลสำรวจจาก Reuters ระบุว่า เฟดจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปจนกว่าจะถึงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยมีความเป็นไปได้ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ เนื่องจากต้องการรอให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯสิ้นสุดลง
สมาชิกเฟดได้ปรับลดประมาณการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ลง จากเดิมที่คาดว่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ 4 ครั้งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัง Brexit ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะยังคงแข็งแกร่งอยู่ก็ตาม
ผลการสำรวจฯพบว่า นักเศรษฐศาสตร์มากกว่าครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 100 คน คาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งในช่วงไตรมาสที่ 4/2016 นี้ โดยคาดว่าจะเป็นการประชุมเดือน ธ.ค. เพื่อรอให้การเลือกตั้งสหรัฐฯในเดือน พ.ย. ผ่านพ้นไปก่อน
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ที่เหลือคาดการณ์กระจัดกระจายตั้งแต่เดือน ก.ย. ปีนี้ไปจนถึงปีหน้า
นักเศรษฐศาสตร์จาก BMO Capital Markets ระบุว่า ความเห็นของสมาชิกเฟดทั้งหมดบ่งชี้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างระมัดระวังและค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นจึงคาดว่าเฟดจะมีความระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะไปได้ด้วยดีในช่วงระยะเวลาอีก 6 เดือนข้างหน้า ประกอบกับตลาดแรงงานที่น่าจะอยู่ในช่วงการจ้างงานเต็มที่ ดังนั้นจึงคาดว่าการประชุมเดือน ธ.ค. น่าจะเป็นเวลาที่ดีในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไป
ผลสำรวจฯดังกล่าวของ Reuters ระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปี 2017
ผลสำรวจจาก Reuters ชี้ Brexit นั้นกดดันเศรษฐกิจโลก และรัฐบาลประเทศต่างๆจะใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จาก Reuters ระบุว่า ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลกนั้นลดลงจาก Brexit ในขณะที่การใช้นโยบายทางการเงินกำลังลดบทบาทลงไป และรัฐบาลประเทศต่างๆจำเป็นต้องใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โลกกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทั้งจาก Brexit และความกังวลอื่นๆ อาทิ การทำรัฐประหารที่ล้มเหลวของตุรกี รวมถึงสหรัฐฯที่กำลังจะมีการเลือกตั้งเร็วๆนี้ และความไม่แน่นอนดังกล่าวได้ย่างกรายเข้ามาในช่วงเวลาที่ธนาคารกลางต่างๆไม่มีเครื่องมือในการดำเนินนโยบายเพื่อจัดการปัญหาต่างๆมากนัก หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 และการล้มละลายของ Lehman Brothers
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก HSBC ระบุว่า เศรษฐกิจโลกนั้นอ่อนแอมานานกว่า 8 ปีแล้ว หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ และสิ่งที่เศรษฐกิจโลกไม่ต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่จะเข้ามาสร้างความไม่แน่นอน เช่น Brexit โดยคาดว่า นโยบายการคลัง จะเข้ามามีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
ผลจากสำรวจนักเศรษฐศาสตร์กว่า 500 คน จาก Reuters ระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์ลดการคาดการณ์เศรษฐกิจลง อย่างดีที่สุดคือคงการคาดการณ์ไว้ตามเดิม โดยเหล่านักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ในปีนี้เศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ 3.0% ตามเดิม ขณะที่ปี 2017 คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ลดลงสู่ระดับ 3.2% จากเดิมที่ 3.3% ซึ่งน้อยกว่า IMF ที่ประเมินว่าจะเติบโตได้ 3.1% ในปีนี้และ 3.4% ในปี 2017
ผอ.IMF ระบุ Brexit นั้นส่งผลให้ลดการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง
นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ระบุว่า Brexit นั้นส่งผลให้ลดการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลง และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจาก Brexit ควรจะถูกกำจัดออกไปให้เร็วที่สุด
น้ำมันดิบหดตัวลงต่อเนื่องในวันนี้
วันนี้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่องในวันนี้ หลังจากที่เมื่อวานนี้ปรับตัวลดลงไปกว่า 2% โดยจากนักลงทุนที่กำลังประเมินว่าภาวะน้ำมันดิบของสหรัฐฯนั้นเป็นอย่างไร หลังข้อมูลจาก EIA เผยว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯลดลง ขณะที่สต็อกแก๊สโซลีนและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆเพิ่มสูงขึ้น
ราคาน้ำมันดิบ BRENT ปรับตัวลดลง 11 เซนต์ หรือ 0.2% ที่ระดับ 46.09 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 27 เซนต์ หรือ 0.6% ที่ระดับ 44.48 เหรียญ/บาร์เรล