ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิด -0.2% ที่ระดับ 18,576.47 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิด -0.08% และดัชนี โดยตลาดหุ้นอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากระดับสูงสุดในคืนวันศุกร์ จากการชะลอตัวของข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภาวะขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิด +0.09% โดยยังคงปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง 2 วันทำการ
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากข้อมูลยอดค้าปลีกสหรัฐฯที่ขยายตัวต่ำกว่าที่คาด จากการที่ชาวสหรัฐฯลดการซื้อเสื้อผ้าและสินค้าอื่นๆ ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตร่วงลงแตะระดับ -0.4% ซึ่งเป็นระดับการร่วงลงมากทีสุดในรอบเกือบปี
ดัชนี MSCI Asia Pacific Index ตลาดหุ้นเอเชียเช้าวันนี้ปรับตัวลดลง ปรับตัวลดลง 0.4% สู่ระดับ 139.40 จุด หดตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี หลังข้อมูลเศรษฐกิจของญี่ปุ่นออกมาแย่กว่าคาด และตลาดหุ้นสหรัฐฯที่หดตัวลง
นักบริหารการเงิน ประเมินว่า สัปดาห์นี้ค่าเงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 34.70-35.00 บาท/ดอลลาร์ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ กระแสเงินทุนไหลเข้า, ตัวเลขจีดีพีปะจำไตรมาส 2/59 ของไทย,ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ผลสำรวจดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์, เฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนส.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค, การผลิตภาคอุตสาหกรรมม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนก.ค., ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิเดือนมิ.ย.และสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ นอกจากนี้ นักลงทุนอาจมีจุดสนใจเพิ่มเติมที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2559 ของญี่ปุ่น และอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนด้วยเช่นกัน
จากเหตุวินาศกรรมคนร้ายลอบวางระเบิดและวางเพลิง 7 จังหวักภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.ต่อเนื่อง วันที่ 12 ส.ค. มีชาวบ้านเคราะห์ร้ายเสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก ส่งผลให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในพื้นที่ช่วงวันหยุดติดต่อกัน 3 วัน ค่อนข้างเงียบเหงา บรรดาห้างร้านต่างๆหวาดผวาพากันปิดร้านหนี ส่วนประชาชนไม่กล้าออกมาเดินตามห้างสรรพสินค้าและสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเป้าหมาย ขณะที่เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่ออุสาหกรรมการท่องเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มั่นใจในความปลอดภัย