เมื่อคืนนี้เฟดเผย สรุปรายงานประชุมเฟดประจำเดือน ก.ค. ระบุว่า
- สมาชิกเฟดส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าจะต้องรอคอยข้อมูลเศรษฐกิจให้มีมากกว่านี้ก่อนที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- สมาชิกเฟดบางส่วนที่ต้องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วๆนี้ เนื่องจากมีความเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเกินไปจะกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงิน
- สมาชิกโดยทั่วไปมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและตลาดแรงงาน
- ดัชนี CPI ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% เนื่องจากราคาน้ำมันและราคาสินค้านำเข้าที่ปรับตัวลดลง
- การจ้างงานนอกภาคการเกษตรปรับตัวสูงขึ้นมากในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 2/2016 นั้นชะลอตัวลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1/2016
การคำนวณจาก Fed Funds Futures ชี้ว่า นักลงทุนในตลาดแทบไม่เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเลย โดยยังคงคาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. 50.3%
นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุย ระบุว่า ตัวเขานั้นไม่ได้ให้ความสำคัญว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่มากนัก เพียงแต่หวังว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะต้องเกิดขึ้นหลังจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถเติบโตได้มากขึ้น
เมื่อวานนี้รายงานจาก Moody’s เผยคาดการณ์ว่าตลาดเกิดใหม่ในปี 2016 และ 2017 โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ 4.4% และ 5.0% ในปี 2016 และ 2017 ตามลำดับ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากรายงานเดิม แต่ Moody’s มีมุมมองต่อประเทศบราซิล รัสเซีย จีน ตุรกี และแอฟริกาใต้ ดีขึ้น
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวานนี้หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์ โดยปรับตัวลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาดลงได้บ้าง อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ตลาดน้ำมันดิบกำลังตับตามองไปยังกาประชุมของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 26-28 ก.ย. นี้อย่างใกล้ชิด
น้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 46.79 ดอลลาร์/บาร์เรล