เมื่อวานนี้มีถ้อยแถลงของประธานเฟด 3 ราย ซึ่งมีความเห็นค่อนข้างแตกต่างกัน
นายวิลเลี่ยมส์ ดัดเล่ห์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ระบุว่า เศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯนั้นแข็งแกร่ง โดยตลาดแรงงานนั้นคาดว่ากำลังจะเข้าสู่ภาวการณ์จ้างงานเต็มที่ ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นคาดว่าจะเติบโตได้มากขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ 1% ไปอยู่ที่ระดับ 2.5-3% ในช่วงครึ่งปีหลังนี้
นายจอห์น วิลเลี่ยมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก ระบุว่า ทุกๆการประชุมของเฟดนั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย แน่นอนว่ารวมถึงการประชุมในเดือน ก.ย. นี้ด้วย พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าเฟดควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วๆนี้ เนื่องจากการที่ปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเกินไปเป็นเวลานานจะส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจ
นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟดดัลลัส ระบุว่า เฟดยังพอที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ แต่ไม่น่าจะมากเท่ากับที่ทุกคนคิด เนื่องจากถูกกดดันโดยอัตราดอกเบี้ยตามธรรมชาติ(Neutral Rate) ที่อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเฟดกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทาย
ทั้งนี้นักลงทุนในตลาดนั้นคาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาส 18% ในการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ขณะที่มีโอกาส 50-50 ในการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงมากเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 262,000 ราย ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สวนทางกับนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3,000 ราย
เฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.0 ในเดือน ส.ค. หลังจากหดตัวลงสู่ระดับ -2.9 ในเดือนก.ค. ทั้งนี้ดัชนีที่อยู่ต่ำกว่า 0 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัว หากอยู่เหนือระดับ 0 บ่งชี้ภาวะขยายตัว อย่างไรก็ดี ดัชนีย่อยเกี่ยวกับภาวะการจ้างงานได้ทรุดตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่ดัชนีย่อยเกี่ยวกับคำสั่งซื้อใหม่ได้ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน
อีซีบีเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 21 ก.ค. เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า ที่ประชุมมองว่าการที่อังกฤษลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ได้ส่งผลกระทบจำกัดอยู่แต่ในอังกฤษ โดยไม่ได้ลุกลามในวงกว้าง แม้ยังคงมีความไม่แน่นอนที่ว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในอนาคตหรือไม่
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และตลาดยังคงขานรับรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์
น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 3.1% ปิดที่ 48.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบกลับเข้าสู่ตลาดกระทิงอีกครั้ง หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 7 วันทำการ เนื่องจากกระแสคาดการณ์ในการประชุมของกลุ่ม OPEC ในเดือนหน้า ว่าจะออกมาตรการในการจำกัดปริมาณอุปทานส่วนเกิน