ดัชนี MSCI Asia-Pacific ex Japan ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับตัวลดลง 0.7% ในวันนี้ หดตัวต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนที่หดตัวไป 0.3% เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น จากการที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนหน้าการประชุมที่เมือง Jackson Hole ในปลายสัปดาห์นี้
นักวิเคราะห์จาก Sumitomo Mitsui Trust Asset Management ระบุว่า ตลาดสามารถเคลื่อนตัวไปในทิศทางใดก็ได้ โดยในขณะนี้นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังรอคอยปัจจัยใหม่ๆเข้ามากระทบ
ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวสูงขึ้น 0.3% สู่ระดับ 16,598.19 จุด อย่างไรก็ดีดัชนีปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายและกำลังจับตาไปยังการประชุมที่ Jackson Hole ในสัปดาห์นี้
ดัชนี Shanghai Composite ปรับลดลง 0.7% ที่ระดับ 3,084.81จุด เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนขายทำกำไรจากหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและหุ้นกลุ่มขนส่ง
ดัชนี Hang Seng ปรับตัวสูงขึ้น 0.3% สู่ระดับ 22,997.91 จุด อย่างไรก็ดีดัชนีปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มากนักจากการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ความกังวลเกี่ยวกับค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงและความไม่แน่นว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อใด
ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ระบุว่า ปัจจุบันเงินบาทที่แข็งค่าสุดในรอบ 1 ปี หรือแข็งค่าขึ้นราว4% นับตั้งแต่ต้นปี 2559 กำลังเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลว่าเงินบาทที่แข็งค่าอาจยิ่งซ้ำเติมภาคส่งออกไทยที่กำลังอยู่ในช่วงซบเซาให้แย่ลงอีก อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้อาจไม่ได้กระทบต่อการส่งออกมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล จากข้อสังเกตบางประการที่น่าสนใจ ดังนี้
1.เงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มไปกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาคซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบต่อภาคส่งออกไทยมากนัก
2.ค่าเงินมีผลกระทบต่อการส่งออกไม่มากเหมือนในอดีตสังเกตได้จากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องจาก 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2556 จนทะลุ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 หรืออ่อนค่าราว 22% ในช่วง 3 ปี ซึ่งนับว่าอ่อนค่ากว่าค่าเงินคู่แข่งเกือบทุกสกุล แต่การส่งออกของไทยในช่วงดังกล่าวกลับหดตัว 3 ปีติดต่อกัน ขณะที่หลายประเทศ โดยเฉพาะเวียดนามที่แม้ตั้งแต่ต้นปี 2559 เงินด่องจะแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกับเงินบาท แต่การส่งออกของเวียดนามยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง
Thai
Eng