เมื่อวานนี้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์หดตัวลง เนื่องจากถ้อยแถลงของสมาชิกเฟดที่หนุนให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ในปีนี้
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังจากที่นายสแตนลี่ ฟิชเชอร์ รองประธานเฟด ออกมาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯใกล้บรรลุเป้าหมายของเฟดแล้ว และการเติบโตจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้แม้นายฟิชเชอร์จะไม่ได้ระบุถึงช่วงเวลาของการขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม แต่มุมมองของเขานั้นได้ส่งสัญญาณว่าก่อนหน้านี้ตลาดการเงินได้ให้โอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้น้อยเกินไป
ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ความน่าจะเป็นที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52% จากระดับ 45% ในสัปดาห์ก่อนหน้า
ดัชนี Bloomberg Dollar Index ซึ่งเป็นมาตรวัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินหลัก 10 สกุล แข็งค่าขึ้น 0.2% เมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ดีในเช้าวันนี้ดัชนีดังกล่าวหดตัวลง 0.1%
นักวิเคราะห์จากซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ แบงค์ (Sumitomo Mitsui Trust Bank) ระบุว่า ถ้อยแถลงของสมาชิกเฟดช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ได้เพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น โดนตลาดการเงินกำลังโฟกัสไปที่การประชุมที่ Jackson Hole และถ้อยแถลงของประธานเฟดว่าจะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่ ดังนั้นค่าเงินดอลลาร์จึงดูอ่อนแอ
ราคาน้ำมันดิบปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้หลังจากมีรายงานว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่เปิดใช้งานในสหรัฐมีจำนวนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน, การส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของจีนที่เติบโต และการส่งมอบน้ำมันดิบของอิรักและไนจีเรียที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.47 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 47.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักวิเคราะห์จาก Barclay's Bank ระบุว่า ราคาน้ำมันจะเผชิญกับการหดตัวในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่า ข้อมูลการถือสถานะล่าสุดบ่งชี้ว่าการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบที่ผ่านมานั้นเกิดจากปัจจัยทางเทคนิคมากกว่าจะเกิดจากปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงคาดว่ากลุ่ม OPEC นั้นจะไม่สามารถตกลงเรื่องการตรึงกำลังการผลิตกันได้