ในการประชุมเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมานั้นรายงานการประชุ
มของบีโออีประโยคหนึ่งระบุว่า “สมาชิกที่ประชุมส่วนใหญ่
คาดการณ์ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้
ยลงอีกในปีนี้” ; นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ 73% จากการสำรวจโดย Bloomberg คาดการณ์ว่าในการประชุมวันนี้
ประโยคดังกล่าวจะยังคงมีอยู่
ในรายงานการประชุมเช่นเดิม
สัญญาณที่สามารถบ่งชี้นโยบายการเงินในอนาคตของบีโออีนั้นกำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากที่ประชุมบีโออีในเดือนที่ผ่านมานั้น ได้เพิ่มความเป็นไปได้ที่บีโออีจะออกนโยบายการเงินเพิ่มเติมอีกในปีนี้ อย่างไรก็ดีในระยะหลังข้อมูลเศรษฐกิจของอังกฤษนั้นออกมาดีกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
นักวิเคราะห์คาด อังกฤษจะรอดพ้นจากการหดตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างเฉียดฉิว
ผลสำรวจนักวิเคราะห์จาก Reuters ระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะไม่เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลอังกฤษจำเป็นต้องเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อหนุนการเติบโต
ทั้งนี้ผลการสำรวจดังกล่าวได้ผลว่า มีโอกาส 35% ที่อังกฤษจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ลดลงจากเดิมที่ระดับ 60% จากการสำรวจเมื่อเดือน ก.ค.
นอกจากนี้ผลการสำรวจเมื่อเดือน ส.ค. นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะหดตัว 0.1% ในไตรมาสนี้และไตรมาสหน้า ขณะที่ผลการสำรวจล่าสุดออกมาดีขึ้น โดยคาดว่าจะไม่เติบในไตรมาสนี้ และจะเติบโตได้ 0.1% ในไตรมาสหน้า
ยิ่งเฟดพูด ตลาดยิ่งสับสน
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า การประชุมของเฟดจะเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยตลาดกำลังจับตามองว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้หรือไม่ อย่างไรก็ดี มีปัญหาอยู่ว่า ทุกๆถ้อยแถลง, การคาดการณ์, สรุปการประชุม รวมถึงการสัมภาษณ์ต่างๆของสมาชิกเฟด ได้ส่งผลให้ทุกอย่างดูคลุมเครือมากขึ้น แทนที่จะน้อยลง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้อยแถลงของ นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดสาขาบอสตัน (มีสิทธิออกเสียง) เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ว่า “เศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นอาจร้อนแรงเกินไปหากเฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนานเกินไป” ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ดัชนี S&P500 หดตัวลง 2.5% มากที่สุดนับตั้งแต่เกิด Brexit
ขณะที่ ถ้อยแถลงของ นางลาเอล เบรนนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด (มีสิทธิออกเสียง) ในอีก 3 วันถัดมา ได้ระบุว่า “ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนขึ้นอัตราดอกเบี้ย” ซึ่งช่วยให้ดัชนี S&P500 กลับมาปรับตัวสูงขึ้นได้ 1.5% ซึ่งนับเป็นการรีบาวด์ที่สูงที่สุดในระดับวัน นับตั้งแต่เดือน ม.ค.
นักวิเคราะห์จาก Bocom International Holdings ระบุว่า ความไม่ชัดเจนของเฟดเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง, ยิ่งเฟดพูด ยิ่งสับสน
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยในวันนี้หลังจากที่ช่วง 2 วันที่ผ่านมาหดตัวลงเกือบ 6% โดยได้รับแรงกดดันจากลิเบียและไนจีเรียที่กำลังจะกลับมาผลิตน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องหยุดลงเนื่องจากความวุ่นวายภายในประเทศ
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 0.28% สู่ระดับ 43.70 เหรียญ/บาร์เรล